ขอบคุณเพื่อนๆมากๆเลยนะ ที่เข้ามาเยี่ยมเยียน "

Love story

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันคริสต์มาส



ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลที่สำคัญเทศกาลหนึ่งของชาวคริสต์ เทศกาลสำคัญที่ว่านี้คือ เทศกาลคริสต์มาส ซึ่งเป็นเทศกาลฉลองการประสูติของพระคริสต์เทศกาลคริสต์มาสจะจัดขึ้นในวันที่ 24 และ 25 ธันวาคมของทุกปี ในบางประเทศคริสต์มาสอาจจะเริ่มก่อนหน้านั้นประมาณหนึ่งเดือน ช่วงเวลานี้เรียกว่า "แอดเวนท์" (มาจากภาษาลาติน แปลว่า "กำลังมา") และจะสิ้นสุดลงในวันที่ 6 มกราคมซึ่งเป็นวันที่นักปราชญ์สามคนที่มาจากทิศตะวันออกนำของขวัญมามอบแก่พระกุมารเยชู ด้วยเหตุนี้ในคืนวันที่ 6 มกราคม จึงเป็นคืนแห่งการมอบของขวัญในหลาย ๆ แห่งของโลก และเมื่อวันคริสต์มาสอันเป็นวัดสุดยอดของเทศกาลมาถึง การเฉลิมฉลองก็จะเริ่มขึ้น ในช่วงเทศกาลนี้บ้านเรือนจะถูกตกแต่งให้สดใสอบอุ่นด้วยต้นคริสต์มาสที่ประดับประดาเอาไว้อย่าง สวยงาม ที่ใต้ต้นคริสต์มาสจะมีของขวัญวางเรียงไว้มากมาย ประตูบ้านและขอบเตาผิงจะถูกตกแต่งด้วยหรีดกิ่งสนและฮอลลีในเดนมาร์กมีการประดับกิ่งเบริร์ชด้วยผลแอปเปิ้ลสีแดงผลเล็ก ๆ และคนแคระตังจิ๋วที่เรียกว่า "พิสเชอร์" ในนอรเวและสวีเดนมีการทำสัตว์ตัวเล็ก ๆ จากฟางแล้วผูกด้วยริบบิ้นสีแดง

เมื่อพูดถึงอาหารในวันคริสต์มาสจะมีอาหารพิเศษมากมายทั้งไก่งวงที่แสนอร่อย เนื้ออบก้อนโตซอสแครนเบอร์รรี ขนมพาย พุดดิง เค้กและคุกกี้เป็นร้อย ๆชนิด ที่ฝรั่งเศษมีการทำเค้กพิเศษเป็นรูปขอนไม้รสชาติเข้มข้นที่เรียกว่า บุช เดอ โนแอล (ขอยไม้คริสต์มาส)และหลังจากอาหารค่ำที่แสนวิเศษผ่านไปนาทีอันน่าระทึกใจก็มาถึงนั่นก็คือการแกะของขวัญนั่นเอง คริสต์มาสเป็นเทศกาลแห่งความสุขที่มีเรื่องให้พูดถึงไม่รู้เบื่อ สำหรับใครก็ตามที่กำลังจะฉลองเทศกาลนี้ก็ขอให้มีความสุขมาก ๆ

ทุกวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี จะมีการฉลองรื่นเริงในหมู่คริสต์ศาสนิกชนทั่วโลก กิจกรรมในวันนี้มีแต่สิ่งที่น่ารื่นรมย์ไม่ว่าจะเป็นการกินเลี้ยง แลกของขวัญ แต่งบ้านด้วยต้นคริสต์มาส ร้องเพลงคริสต์มาส ไปจนถึงเอาถุงเท้าไปแขวนรอซันตาคลอสผู้อารีย์นำของขวัญมาใส่ไว้ให้ วันคริสต์มาสมีความสำคัญคือ เป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาของศาสนาคริสต์ พระเยซูเป็นชาวยิว ประสูติในประเทศปาเลสไตน์ ซึ่งเดิมตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศใกล้เคียงมาเป็นเวลาช้านาน มีนักปราชญืชาวยิวหลายท่านพยากรณ์ว่า วันหนึ่งข้างหน้าจะมีพระบุตรของพระเจ้าเสด็จลงมาปลดแอกชาวยิวให้ได้รับอิสระภาพในที่สุดวันนั้นก็มาถึง เมื่อพระเยซูประสูติที่หมู่บ้านเบธเลเฮม แคว้นยูดา มารดาของพระองค์ชื่อมาเรีย (ซึ่งเรารู้จักในนามแม่พระ) บิดาชื่อโยเซฟมีอาชีพเป็นช่างไม้ พระเยซูทรงพระปรีชาสามารถมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์สามารถโต้ตอบกับพระชาวยิวในด้านศาสนาได้อย่างฉะฉาน ชีวิตในตอนต้นของพระองค์ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายทรงมีอาชีพเป็นช่างไม้ช่วยบิดา จนพระชนมายุราว 30 พรรษา จึงเสด็จออกประกาศคำสอนและทรงรักษาคนป่วยประเภทต่าง ๆเช่น คนตาบอด ง่อยเปลี้ย ให้กลับเป็นปกติดังเดิม ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลกเช่นเดียวกับศาสนาอิสล

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันพ่อแห่งชาติ




5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์ เป็นผู้ถวายการประสูติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการ จำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม" อันคำว่าโดย "ธรรม" นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า "ทศพิธราชธรรม" หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า "ราชธรรม 10 ประการ" ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฎิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ





วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริ่เริ่ม หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อ โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญ ต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น "พ่อ" ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Renaissance





The Renaissance (French for "rebirth"; Italian: Rinascimento, from ri- "again" and nascere "be born") was a cultural movement that spanned roughly the 14th to the 17th century, beginning in Florence in the Late Middle Ages and later spreading to the rest of Europe. The term is also used more loosely to refer to the historic era, but since the changes of the Renaissance were not uniform across Europe, this is a general use of the term. As a cultural movement, it encompassed a resurgence of learning based on classical sources, the development of linear perspective in painting, and gradual but widespread educational reform.


Traditionally, this intellectual transformation has resulted in the Renaissance being viewed as a bridge between the Middle Ages and the Modern era. Although the Renaissance saw revolutions in many intellectual pursuits, as well as social and political upheaval, it is perhaps best known for its artistic developments and the contributions of such polymaths as Leonardo da Vinci and Michelangelo, who inspired the term "Renaissance man".[2][3]
There is a general, but not unchallenged, consensus that the Renaissance began in
Florence, Tuscany in the 14th century.




Various theories have been proposed to account for its origins and characteristics, focusing on a variety of factors including the social and civic peculiarities of Florence at the time; its political structure; the patronage of its dominant family, the Medici; and the migration of Greek scholars and texts to Italy following the Fall of Constantinople at the hands of the Ottoman Turks.


The Renaissance has a long and complex historiography, and there has been much debate among historians as to the usefulness of Renaissance as a term and as a historical delineation. Some have called into question whether the Renaissance was a cultural "advance" from the Middle Ages, instead seeing it as a period of pessimism and nostalgia for the classical age, while others have instead focused on the continuity between the two eras. Indeed, some have called for an end to the use of the term, which they see as a product of presentism – the use of history to validate and glorify modern ideals.


The word Renaissance has also been used to describe other historical and cultural movements, such as the Carolingian Renaissance and the Renaissance of the 12th century.




วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อเล็กซานเดอร์มหาราช




พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช พ.ศ.๑๗๖ หรือพุทธปรินิพพานได้ ๑๙๖ ปี ที่คาบสมุทรบอลข่าน เมืองมาซิโดเนีย กรีก เจ้าชายอเล็กซานเดอร์ ก็ได้ประสูติขึ้นมาในโลก พระองค์นับเป็นกษัตริย์ที่นักประวัติศาสตร์ทั่วโลก ยอมรับว่ายิ่งใหญ่ที่สุดพระองค์หนึ่งขึ้นครองราชย์สมบัติ ณ มาซิโดเนีย เมื่ออายุ ๒๐ พรรษาต่อจากพระบิดานามว่า ฟิลิปส์ (Pgillips) พระองค์เป็นศิษย์เอกของอริสโตเติล เมื่อทรงพระเยาว์ได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดี

เมื่อพระชนมายุ ๒๖ พรรษา ก็ทรงเป็นนักรบที่เก่งกาจ สามารถเอาชนะทั้งซีเรีย ปาเลสไตน์ อียิปต์ เปอร์เซีย (อิหร่าน)ภายในเวลาแค่ ๔ ปี จากนั้นข้ามภูเขาฮินดูกูฏเข้ามาสู่ปัญจาปทางอินเดีย ภาคเหนือเมื่อ พ.ศ. ๒๑๖ ที่นี่พระองค์ได้ทะลุถึงเมืองตักกศิลา (Taxila) เมืองที่มีชื่อเสียงด้านการศึกษาทั้งพุทธศาสนา และพราหมณ์ ณ ที่นี่พระเจ้าอัมพิราชา (Ambhiraja) ไม่ได้ทรงต่อต้านเพราะเห็นว่า ตัวเองมีกำลังอำนาจไม่เข้มแข็ง พอที่จะต้านศัตรูต่างแดนได้ จึงได้เปิดเมืองต้อนรับอเล็กซานเดอร์ ซึ่งพระองค์ก็ไม่ได้ทำอะไร เพียงแต่ให้ตักกศิลาเป็นเมืองขึ้นต่อมาซิโดเนียเท่านั้นแล้วให้ปกครองตามเดิม แล้วทรงขอให้ตักกศิลาส่งทหารมาช่วยรบปัญจาป ๕,๐๐๐ คน ซึ่งพระเจ้าอัมพิราชาก็ยินยอม

ดังนั้น พระเจ้าอเล็กซานเดอร์จึงรุดเข้าสู่ปัญจาป ได้พบกับกองทัพของพระเจ้าเปารวะ หรือ เปารุส พระราชาแห่งปัญจาป และเมื่อพระเจ้าอเล้กซานเดอร์เดินทางมาถึงแม่น้ำวิตัสตะ พระองค์ก็ได้มองเห็นทัพพระเจ้าเปารุสตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม เมื่อถึงตอนกลางคืน ทัพกรีกพร้อมทหารตักกศิลาเป็นพันธมิตร ก็เริ่มโจมตีอย่างฉับพลัน เมื่อเจอลูกศรช้างทรงของพระเจ้าเปารวะได้รับบาดเจ็บ จึงอาละวาดเหยียบทั้งทหารตนเองและทหารกรีก เกิดความสับสนอลหม่าน และในไม่ช้าทัพอินเดียของพระเจ้าเปารวะก็แพ้อย่างยับเยิน ตัวพระเจ้าเปารวะเองบาดเจ็บสาหัสจึงถูกนำตัวมาเฝ้าพระเจ้าอเล็กซานเดอร์

เมื่อกษัตริย์ กรีกถามว่าจะให้ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร เปารวะกล่าวเยี่ยงอย่างพระราชา ทำให้พระเจ้าอเล็กซานเดอร์พอพระทัย สุดท้ายก็ทรงแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ปกครองปัญจาปเช่นเดิม เมื่อเสร็จศึกที่ปัญจาปแล้วพระเจ้าอเล็กซานเดอร์หวังจะยกทัพต่อเพื่อยึดมคธและส่วนอื่น ๆ ของอินเดีย แต่แม่ทัพนายกองทหารอ่อนล้าเต็มที่จึงวิงวอนไม่ให้เดินทัพต่อ

กษัตริย์แห่งมาซิโดเนีย จึงจำเป็นต้องถอนทัพกลับหลังยึดอินเดียเหนือได้ ๑ ปีกับ ๘ เดือน ทัพกรีกแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายแรกกลับทางเรือง อีกฝ่ายกลับทางบก ยุคนี้อินเดียส่วนเหนือ เปอร์เซีย (อีหร่าน) บาบิโลน (อีรัก) อีหยิปต์ ปาเลสไตน์ ซีเรียและยุโรปต่างตกอยู่ภายใต้การยึดครองของจักรวรรดิกรีก ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์อย่างสิ้นเชิง

หลังกลับไม่ได้นานพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ก็ได้สิ้นพระชนม์ที่บาบิโลน (อิรัก) รวม พระชนมมายุ ๓๓ พรรษาเท่านั้น นักประวัติศาสตร์ต่างยอมรับว่าพระเจ้าอเล็กซานเดอร์นับเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ ที่สุดพระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์โลกเทียบเท่าเจ็งกิสข่านของมองโกลผู้พิชิตยุโรป



วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Napoléon




Napoléon Bonaparte(né le 15 août 1769 à Ajaccio, en Corse ; mort le 5 mai 1821 sur l'île Sainte-Hélène) fut général, Premier consul, puis empereur des Français. Il fut un conquérant de l'Europe continentale.

Objet dès son vivant d'une légende dorée comme d'une légende noire, il a acquis une notoriété aujourd'hui universelle pour son génie militaire (victoires d'Arcole, Rivoli, Pyramides, Marengo, Austerlitz, Iéna, Friedland, Wagram, La Moskova) et politique, mais aussi pour son régime autoritaire, et pour ses incessantes campagnes (voulues ou non) coûteuses en vies humaines, soldées par de lourdes défaites finales en Espagne, en Russie et à Waterloo, et par sa mort en exil à Sainte-Hélène sous la garde des Anglais.

Il dirige la France à partir de la fin de l’année 1799 ; il est d'abord Premier Consul du 10 novembre 1799 au 18 mai 1804 puis Empereur des Français, sous le nom de Napoléon Ier, du 18 mai 1804 au 11 avril 1814, puis du 20 mars au 22 juin 1815. Il réorganise et réforme durablement l'État et la société. Il porte le territoire français à son extension maximale avec 134 départements en 1812, transformant Rome, Hambourg, Barcelone ou Amsterdam en chefs-lieux de départements français. Il est aussi président de la République italienne de 1802 à 1805, puis roi d’Italie du 17 mars 1805 au 11 avril 1814, mais encore médiateur de la Confédération suisse de 1803 à 1813 et protecteur de la Confédération du Rhin de 1806 à 1813. Il conquiert et gouverne la majeure partie de l’Europe continentale et place les membres de sa famille sur les trônes de plusieurs royaumes européens : Joseph sur celui de Naples puis d'Espagne, Jérôme sur celui de Westphalie, Louis sur celui de Hollande et son beau-frère Joachim Murat à Naples. Il crée aussi un grand-duché de Varsovie, sans oser restaurer formellement l'indépendance polonaise, et soumet à son influence des puissances vaincues telles que la Prusse et l'Autriche.




Napoléon tente de mettre un terme à son profit à la série de guerres que mènent les monarchies européennes contre la France depuis 1792. Il conduit les hommes de la Grande Armée, dont ses fidèles « grognards », du Nil et de l'Andalousie jusqu'à la ville de Moscou. Comme le note l'historien britannique Eric Hobsbawm, aucune armée n'était allée aussi loin depuis les Vikings ou les Mongols et aussi de soumettre autant de grandes puissances de l'époque. Malgré de nombreuses victoires initiales face aux diverses coalitions montées et financées par la Grande-Bretagne (devenue le Royaume-Uni en 1801), l’épopée impériale prend fin en 1815 avec la défaite de Waterloo.

Peu d'hommes ont suscité autant de passions contradictoires que Napoléon Bonaparte. Selon les mots de l’historien Steven Englund : « le ton (…) qui convient le mieux pour parler de Napoléon serait (…) une admiration frisant l’étonnement et une désapprobation constante frisant la tristesse. »

Toute une tradition romantique fait précocement de Napoléon l'archétype du grand homme appelé à bouleverser le monde. Élie Faure, dans son ouvrage Napoléon, qui a inspiré Abel Gance, le compare à un « prophète des temps modernes ». D'autres auteurs, tel Victor Hugo, font du vaincu de Sainte-Hélène le « Prométhée moderne ». L'ombre de « Napoléon le Grand » plane sur de nombreux ouvrages de Balzac, Stendhal, Musset, mais aussi de Dostoïevski, de Tolstoï et de bien d'autres encore.

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หอนาฬิกาบิ๊กเบน ( Bigben )




หอนาฬิกาพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ (Clock Tower, Palace of Westminster) หรือรู้จักดีในชื่อ บิ๊กเบน เป็นหอนาฬิกาประจำพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ ซึ่งในปัจจุบันใช้เป็นรัฐสภาอังกฤษตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระราชวัง หอนาฬิกานี้ถูกสร้างหลังจากไฟไหม้พระราชวังเวสต์มินสเตอร์เดิม เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2377 โดยชาลส์ แบร์รี เป็นผู้ออกแบบ หอนาฬิกามีความสูง 96.3 เมตร โดยที่ตัวนาฬิกาอยู่สูงจากพื้น 55 เมตร ตัวอาคารสร้างด้วย สถาปัตยกรรมสมัยสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (victorian gothic)
หลายคนเข้าใจว่าบิกเบนเป็นชื่อหอนาฬิกาประจำรัฐสภาอังกฤษ แต่แท้ที่จริงแล้ว บิกเบนเป็นชื่อเล่นของระฆังใบใหญ่ที่สุด หนักถึง 13,760 กิโลกรัม ซึ่งแขวน ไว้บริเวณช่องลมเหนือหน้าปัดนาฬิกา ทั้งนี้มีระฆังรวมทั้งสิ้น 5 ใบ โดย 4 ใบจะถูกตีเป็นทำนอง ส่วนบิกเบนจะถูกตีบอกชั่วโมงตามตัวเลขที่เข็มสั้นชี้บนหน้าปัดนาฬิกา ทว่าคนส่วนใหญ่กลับใช้ชื่อบิกเบนเรียกตัวหอทั้งหมด

บางทีมักเรียกหอนาฬิกานี้ว่า หอเซนต์สตีเฟน (St. Stephen's Tower) หรือหอแห่งบิกเบน (Tower of Big Ben) ซึ่งที่จริงแล้วชื่อหอเซนต์สตีเฟนคือ ชื่อของหอในพระราชวังอีกหอหนึ่ง ซึ่งใช้เป็นทางเข้าไปอภิปรายในสภา ปัจจุบันภายในหอนาฬิกาไม่เปิดให้สาธารณชนเข้าชม เว้นแต่สำหรับผู้ที่อาศัยใน ประเทศอังกฤษ จะต้องทำเรื่องขอเข้าชมผ่านสมาชิกรัฐสภาอังกฤษประจำท้องถิ่นของตน ถ้าเป็นเด็กต้องมีอายุเกิน 11 ปี จึงจะเข้าชมหอได้ สำหรับชาวต่างประเทศนั้นยังไม่อนุญาตให้ขึ้นไป

หอนาฬิกาพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ มีความสูงทั้งหมด 96.3 เมตร โดยในช่วง 61 เมตรแรก เป็นอาคารก่อด้วยอิฐ บุด้วยหิน ส่วนที่สูงจากนั้นเป็น ยอดแหลมทำด้วยเหล็กหล่อ ตัวหอตั้งอยู่บนฐานกว้าง 15 เมตร ยาว 15 เมตร หนา 3 เมตร อยู่ใต้ดินลึก 7 เมตร ตัวหอทั้งหมดหนักโดยประมาณ 8,667 ตัน หน้าปัดนาฬิกาทั้งสี่ด้านอยู่สูงจากพื้น 55 เมตร เนื่องจากสภาพดินในขณะที่มีการก่อสร้างหอ ทำให้ตัวหอค่อนข้างเอนไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 220 มิลลิเมตร
หน้าปัดนาฬิกา

ครั้งหนึ่ง หน้าปัดนาฬิกาของหอมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่ปัจจุบันถูกทำลายสถิติโดยหอนาฬิกาอัลเลน-แบร็ดเลย์ (Allen-Bradley Clock Tower) ที่รัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา ทว่าผู้สร้างหอนาฬิกาอัลเลน-แบร็ดเลย์มิได้จัดให้มีการตีระฆังหรือสายลวดบอกเวลา จึงทำให้หอนาฬิกาพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ ยังคงเป็น นาฬิกาสี่หน้าปัดที่มีการตีบอกเวลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก กลไกนาฬิกาภายในหอสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2397 แต่ตัวหอเสร็จในเวลา 4 ปีต่อมา
หน้าปัดนาฬิกาถูกออกแบบโดยออกุสตุส ปูจิน (Augustus Pugin) ตัวหน้าปัดทำด้วยโครงเหล็กกว้างและยาว 7 เมตร ประดับด้วยกระจก 576 ชิ้น เข็มสั้นมีความยาว 2.7 เมตร เข็มยาวมีความยาว 4.3 เมตร รอบ ๆ หน้าปัดประดับด้วยลายทองอย่างวิจิตร ใต้หน้าปัดสลักดุนเป็นข้อความภาษาละตินว่า DOMINESALVAM FAC REGINAM NOSTRAM VICTORIAM PRIMAM ซึ่งแปลว่า "โอ้ พระเจ้าข้า จงประทานความปลอดภัยให้พระนางวิกตอเรีย ด้วยเถิด"

นาฬิกาเริ่มเดินครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2402 ต่อมาในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพเยอรมันได้ทิ้งระเบิดทำลายรัฐสภาอังกฤษ และทำความเสียหายให้กับหน้าปัดด้านทิศตะวันตกเป็นอย่างมาก
ระฆัง "บิกเบน"
ระฆังที่แขวนไว้ในหอนาฬิกาพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่ามหาระฆัง (The Great Bell) โดยทำการหล่อครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2399 โดยวอร์เนอร์ออฟคริปเปิลเกต (Warner's of Cripplegate) หนัก 14.5 ตัน มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า เบนจามิน ฮอลล์ (Benjamin Hall) เป็นแม่กองในการหล่อครั้งแรกนี้ จึงใช้ชื่อเล่นของเขาเป็นชื่อเล่นของระฆัง บางที่ก็ว่าระฆังอาจถูกตั้งชื่อหลังจากที่นักมวยรุ่นเฮฟวี่เวตชื่อ เบนจามิน เคานต์(Benjamin Caunt)
มหาระฆังหรือบิกเบน เป็นระฆังหนึ่งในห้าใบที่แขวนไว้ในหอนาฬิกาพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ เมื่อตีจะให้เสียงโน้ต "ลา" ส่วนระฆังอีกสี่ใบที่เหลือมีเสียงโน้ตซอลสูง ฟาสูง มี และที ตามลำดับ
ขณะที่หอนาฬิกายังสร้างไม่เสร็จ มหาระฆังถูกแขวนไว้ในพระราชอุทยานพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ แต่กลับแตกเมื่อถูกตีด้วยค้อนที่หนักเกินไป จึงให้หล่อใหม่ที่บริษัทระฆังไวต์แชพเพล (Whitechapel Bell Foundry) ครั้งนี้ระฆังหนัก 13.76 ตัน สูง 2.2 เมตร และกว้าง 2.6 เมตร มหาระฆังถูกนำขึ้นแขวนในห้องระฆังบริเวณช่องลมของตัวหอ เมื่อปี พ.ศ. 2446 พร้อมด้วยระฆังเล็ก ใช้เวลาทั้งสิ้น 18 ชั่วโมง จึงสำเร็จ ต่อมาในเดือนกันยายนของปีถัดมา มหาระฆังก็ร้าว แต่ก็แก้ไขโดยการหมุนระฆังมิให้ส่วนที่ร้าวถูกตี และก็ไม่ได้ทำการซ่อมแซมมาจนถึงปัจจุบัน
ที่หอนาฬิกามีการตีระฆังเล็กทุก ๆ 15 นาที เป็นทำนองระฆังแบบเวสต์มินสเตอร์ และจะตีด้วยทำนองที่ต่างกันเล็กน้อยทุก 15 นาที เมื่อครบหนึ่งชั่วโมงจะมีการตีระฆังเล็ก ตามด้วยเสียงของบิกเบนตามจำนวนเลขที่เข็มสั้นชี้ เมื่อได้ฟังแล้วก็จะเป็นที่จับใจยิ่งนัก จนกระทั่งเสียงนี้เป็นที่นิยม ทั้งนาฬิกาตั้งในบ้านและหอนาฬิกา เสียงของระฆังในหอนาฬิกาถูกนำออกอากาศทุกวัน ผ่านทางสถานีวิทยุบีบีซีช่อง 4 ก่อนข่าวภาคค่ำ (เวลา 18 นาฬิกา) และข่าวเที่ยงคืนตามเวลาท้องถิ่นประเทศอังกฤษ
สำหรับเสียงของระฆัง (เฉพาะเสียง ตีบอกเวลา 12:00 น. และ 24:00 น.)

ความเที่ยงตรง
นาฬิกาประจำหอนั้นมีชื่อเสียงอย่างมากในด้านความเที่ยงตรงโดยกลไก นาฬิกาถูกออกแบบโดยเอ็ดมุนด์ เบ็กเกตต์ เดนิสัน (EdmundBeckett Denison) และถูกสร้างขึ้นโดยเอ็ดเวิร์ด จอห์น เดนต์ (EdwardJohn Dent) กลไกของนาฬิกาถูกสร้างขึ้นก่อนตัวหอเสร็จถึง 4 ปี ทำให้เอ็ดมุนด์ เดนิสัน มีเวลาที่จะทดสอบความแม่นยำ ซึ่งแทนที่เขาจะใช้กลไกแบบลูกตุ้มแกว่งไม่หยุด(deadbeat escapement) ซึ่งสึกหรอง่าย เพราะลูกตุ้มยังแกว่งแม้เฟืองจะล็อกแล้ว แต่เขากลับใช้กลไกแบบอาศัยแรงโน้มถ่วง (gravity escapement)ประกอบด้วยลูกตุ้มและตัวขับลูกตุ้ม(escapement) บรรจุในกล่องกันลมอย่างดีและเก็บอยู่ที่ใต้ห้องนาฬิกา
จนทำให้นาฬิกามีความแม่นยำอย่างยิ่ง กลไกที่เป็นเฟืองของนาฬิกาทั้งหมดวางอยู่บนโต๊ะรองรับสีเขียวแก่ ที่ขอบโต๊ะจารึกข้อความด้วยลายทองว่า "THIS CLOCK WAS MADE IN THE YEAR OF OUR LORD 1854 BY FREDERICK DENT OF THE STRAND AND THE ROYAL EXCHANGE CLOCKMAKER TO THE QUEEN, FROM THE DESIGNS OF EDMUND BECKETT DENISON Q.C." แปลเป็นไทยได้ว่า " นาฬิกาเรือนนี้สร้างขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2397 (ค.ศ. 1854) โดยเฟรเดอริก เดนต์ เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย โดยการออกแบบของเอ็ดมุนด์ เบ็กเกตต์ เดนิสัน"
ลูกตุ้มนาฬิกาสามารถปรับตั้งได้เสมอโดยการใส่เหรียญเพนนีที่ลูกตุ้มของนาฬิกา เพื่อเปลี่ยนตำแหน่งศูนย์กลางมวลของลูกตุ้ม ทำให้คาบการเคลื่อนที่เปลี่ยนถ้าใส่เหรียญลงไปนาฬิกาก็เดินช้าลง แต่ถ้าเอาออกก็จะเร็วขึ้น จนเกิดสำนวนอังกฤษว่าputting a penny on แปลเป็นสำนวนไทยว่า โอ้เอ้วิหารรายคือทำตัวโอ้เอ้ หรือทำให้ช้ายืดยาด

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ขอระบายหน่อย

โอ้ย ทำไมข้อสอบมันยากอย่างนี้นะ


ไม่ว่าจะข้อสอบครู


ข้อสอบฝรั่งเศส


แล้วพรุ่งนี้ก็สอบ GAT อีก


ไม่รุ้ว่า สทศ จะเล่นตลกอะไรอีก


เคลียดมากกกกกกกกกกกกกกกกก


และเพื่อนๆๆละ


ทำกันได้รึเปล่าเอ่ย

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

ปิดเทอมกันแล้ว



ถึงช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน

หลังจากที่หน้าดำคร่ำเครียดกันมานับ3เดือนกว่า

ก้อได้ปิดเทอมสักที

ปิดเทอมนี้ก็ไม่รู้ว่าเพื่อนๆจะทำอะไรกัน

แต่ก็อย่าลืมอ่านหนังสือกันนะ

จะสอบโควตาของมหาลัยศิลปกรแล้ว

สู้ๆๆทุกคนนะ

ขอให้ได้ดังที่หวังกันทุกคนนะ

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

Taylor Swift







Taylor Alison Swift หรือ Taylor Swift สาวน้อยอเมริกันจากเพนซิลวาเนีย วัย 19 น้องใหม่แห่งวงการคันทรี่ย์ ที่มีแรงบันดาลใจรุ่นพี่หน้าตาสะสวยไม่แพ้กันอย่าง LeAnn Rimes เพลงที่เธอร้องเป็นฝีมือเขียนเพลงด้วยตัวเอง ที่สำคัญ เธอยังเลือกที่จะร้องเพลงที่มาจากตัวเองเท่านั้นอีกด้วย แค่นี้ก็ไม่ธรรมดาซะแล้ว






จุดเริ่มต้นในวงการของ Taylor Swift ถ้านับกันจริงๆ ก็เพิ่งจะปี 2006 ด้วยการส่งซิงเกิ้ล "Tim McGraw" ขึ้นไปถึงอันดับ #6 Billboard Country Charts หลังจากนั้นไม่นาน เดือนตุลาปีเดียวกัน อัลบั้มแรกชื่อเดียวกับตัวเอง Taylor Swift ก็ได้ฤกษ์วางขาย มีเพลงฮิตติดชาร์ตบิลบอร์ดคันทรี่ย์จากอัลบั้มนี้ถึง 5 ซิงเกิ้ลด้วยกัน




Taylor Swift เจ้าหญิงแห่งวงการคันทรี่ย์คนล่าสุดของวงการคนนี้ เป็นเจ้าของสถิติ ศิลปินที่มียอดขายอัลบั้มสูงสุดของปี 2008 ในอเมริกากว่า 4 ล้านชุด จาก 2 อัลบั้ม ซึ่งก็คือ Fearless อัลบั้มล่าสุด และ Taylor Swift ที่อันดับ #3 และ #6 ด้วยยอดขาย 2.1 และ 1.5 ล้านก๊อบปี้ ที่มาพร้อมสถิติ ศิลปินคนแรกที่มี 2 อัลบั้มอยู่ใน Top 10 Year End album Chart ปลายปี 2008 และยังเป็นอัลบั้มแรกของนักร้องสาวคันทรี่ย์ ที่ล็อกอันดับ # 1 Billboard 200 ถึง 8 วีคด้วยกัน โดยมีซิงเกิ้ลฮิต "Love Story" ที่นอกจากจะ สามารถเปิดตัวใน Top 5 Billboard Hot 100 ได้อย่างสวยงามแล้ว ยังกลายเป็นเพลงคันทรี่ย์ดิจิตอลดาวน์โหลดที่มียอดโหลดสูงสุดในประวัติศาสตร์วงการเพลงคันทรี่ย์เลยทีเดียว

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

Fondation Vasarely





The building is a work of art in itself, constructed in 1976 and inspired by Bauhaus architecture: it is formed of 16 impressive hexagonal units. In this architecturally unique building are 42 life-size monumental works by Vasarely, known as the father of "cinetism", and a room dedicated to optical art.Victor Vasarely's project was both architectural and social: to show that art can be incorporated in architecture to enhance everyday life.
The works use a variety of techniques (reliefs, painting and transparencies) and different materials (wood, metal and plastics). Vasarely's aim is to "give you something to see." He uses geometry by combining shapes and colours, he creates volume, space and movement. The visitor becomes a participant; the eye is captivated by the diversity of optical effects which merge with the extraordinary architecture of the rooms. Temporary exhibitions by well-known artists are also held throughout the year in a vast gallery, as well as the International Architecture Forums.


วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552

ดินแดนดวงอาทิตย์เที่ยงคืน




นอร์เวย์ได้ชื่อ "ดินแดนอาทิตย์เที่ยงคืน" หรือ The Midnight Sun มาจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะโลกกลมและหมุนรอบแกนของตัวเอง พร้อมโคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วย โดยจะเอียงแกนเอาขั้วโลกเหนือ-ใต้ สลับเข้าหาดวงอาทิตย์ชั่วระยะหนึ่งใช้เวลาเท่าๆ กันคือประมาณ 4-6 เดือน ระหว่างที่โลกหันเอาขั้วนั้นเข้าหาดวงอาทิตย์จะเป็นฤดูร้อน


เมื่อโลกเอียงเอาขั้วโลกเหนือเข้าหาดวงอาทิตย์ ขั้วโลกเหนือจะได้รับแสงสว่างและความร้อนเต็มที่ สว่างอยู่เป็นเวลา 24 ชั่วโมงติดต่อกันเป็นเวลานับเดือน จะเห็นอาทิตย์โคจรเป็นทางโค้งอยู่เหนือขอบฟ้า ขึ้นสูงพ้นยอดไม้ และค่อยลดต่ำลงจนเกือบจดขอบฟ้า แต่จะไม่ลับขอบฟ้าไปเสียเลยทีเดียว ก่อนกลับสูงขึ้นไปอีกในตอนเที่ยงคืน ทำให้มีแสงสว่างสาดเป็นทาง ต้นไม้มีเงายาวทอดออกไปตามพื้นดิน คล้ายอาทิตย์ในยามเช้าหรือยามเย็น


ขณะเดียวกัน ฝั่งตรงข้ามคือขั้วโลกใต้จะมืดมิด อากาศหนาวจัดตลอด 24 ชั่วโมงติดต่อนับเป็นเดือนเช่นกัน แต่เมื่อโลกเอียงเอาขั้วโลกใต้เข้าหาดวงอาทิตย์ ขั้วโลกใต้ก็จะสว่างเป็นเวลานาน และมีปรากฏการณ์เห็นดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงคืนเช่นกัน (เพียงแต่ว่าซีกโลกนั้นไม่มีมนุษย์อยู่อาศัยยืนยัน มีเพียงเพนกวินจักรพรรดิเท่านั้นที่เตาะแตะชมวิว) ยามขั้วโลกเหนือตกอยู่ในความมืด อากาศหนาวจัดตลอด 24 ชั่วโมงติดต่อนับเป็นเดือน


ปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์เที่ยงคืน ณ โลกเหนือ จะเกิดขึ้นในบริเวณที่อยู่เหนือเส้นอาร์ติกเซอร์เคิล หรือประมาณเส้นละติจูดที่ 66 องศาเหนือ ทำให้ผู้คนในประเทศที่อยู่เหนือเส้นละติจูดนี้มองเห็นดวงอาทิตย์ทั้งในเวลา กลางวันและกลางคืน


สำหรับนอร์เวย์ สถานที่ที่ชมตะวันยามเที่ยงคืนได้เหมาะเจาะคือเมืองทรอมโซ่ ระหว่าง 16 พฤษภาคม-27 กรกฎาคม และเมืองสวาลบอร์ด ซึ่งเป็นหมู่เกาะกลางมหาสมุทรอาร์กติก ทางตอนเหนือของแผ่นดินใหญ่นอร์เวย์ขึ้นไปอีก 640 กิโลเมตร ระหว่าง 19 เมษายน-23 สิงหาคม


นอกจากนอร์เวย์ ดินแดนที่อยู่เหนือเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล ประกอบด้วย อะลาสกา แคนาดา กรีนแลนด์ ไอซ์แลนด์ สวีเดน ฟินแลนด์ และดินแดนของรัสเซียอย่างบริเวณโนวาวา เซมล์ยา หรือมูร์มันสก์ ก็สามารถมองเห็นอาทิตย์เที่ยงคืนได้เหมือนกัน ทั้งนี้ดินแดนที่เคยมีบันทึกว่าเกิดปรากฏการณ์อาทิตย์เที่ยงคืนนานที่สุด คือทางปลายเหนือสุดของฟินแลนด์ ดวงอาทิตย์ไม่ตกดินนานถึง 73 วัน
สำหรับการจัดเวลากลางวันกลางคืน ดวงอาทิตย์ไม่สร้างความสับสน เพราะว่าไปตามนาฬิกาเป็นปกติ


วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Henry the Navigator







This article is about the Portuguese prince. For the Dutch prince sometimes known as "Henry the Navigator", see Prince Henry of the Netherlands.


The Infante Henrique, Duke of Viseu (Portuguese pronunciation: [ẽˈʁik(ɨ)]; Porto, March 4, 1394November 13, 1460 in Sagres) was an infante (prince) of the Portuguese House of Aviz and an important figure in the early days of the Portuguese Empire, being responsible for the beginning of the European worldwide explorations. He is known in English as Prince Henry the Navigator (Portuguese: o Navegador).


Prince Henry the Navigator was the third child of King John I of Portugal, the founder of the Aviz dynasty, and of Philippa of Lancaster, the daughter of John of Gaunt. Henry encouraged his father to conquer Ceuta (1415), the Muslim port on the North African coast across the Straits of Gibraltar from the Iberian peninsula, with profound consequences on Henry's worldview: Henry became aware of the profit possibilities in the Saharan trade routes that terminated there and became fascinated with Africa in general; he was most intrigued by the Christian legend of Prester John and the expansion of Portuguese trade.


It is a common conception that Henry gathered at his Vila on the Sagres peninsula a school of navigators and map-makers. He did employ some cartographers to help him chart the coast of Mauritania in the wake of voyages he sent there, but for the rest there was no center of navigational science or any supposed observatory in the modern sense of the word, nor was there an organized navigational center. In “Crónica da Guiné” Henry is described as a person with no luxuries, not avaricious, speaking with soft words and calm gestures, a man of many virtues that never allowed any poor person leave his presence empty handed.



วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Picasso



ประวัติส่วนตัว

พาโบ รุสซี่ ปิกาสโซ่ เกิดเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ.1881 ที่เมืองมาลาก้า แถบชายฝั่งทะเล เมดิเตอร์เรเนียน ของประเทศสเปน บิดาของปิกาสโซ่เป็นครูสอนศิลปะและเป็นผู้เล็งเห็นความ เป็นอัจฉริยะในตัวของบุตรชายของตน จึงส่งปิกาสโซ่เข้าศึกษาในสถาบันสอนศิลปะในเมืองบาเซโลน่า ซึ่งเป็นสถาบันที่บิดาของเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นโปรเฟสเซอร์เมื่อปี ค.ศ.1896 ปิกาสโซ่ได้รับ ความรู้ด้านการเขียนภาพแบบเรียวลิสติก เมื่อเขามีอายุได้ 16 ปี ก็มีสตูดิโอเป็นของตนเองที่ ในเมืองบาเซโลน่า และในปี ค.ศ. 1900 เขาได้ไปเยือนปารีสเป็นครั้งแรกและตัดสินใจที่จะใช้ ชีวิตอยู่ที่นั่น ในปี ค.ศ.1904

รูปแบบการเขียนภาพของปิกาสโซ่ เปลี่ยนเป็นช่วงๆ โดยในปี ค.ศ.1901 ถึง 1904 จัดเป็นยุคสีฟ้า เพราะเป็นช่วงที่ปิกาสโซ่ นิยมใช้โทนสีฟ้าในการเขียนรูป และในปี ค.ศ.1905 ปิกาสโซ่ได้รับความสำเร็จจากงานที่เขาเขียนมากขึ้น จึงเริ่มเปลี่ยนแปลงสีที่ใช้ โดยค้นหาสีใหม่ จากจานวีของเขาเอง ในที่สุด สีฟ้าที่ใช้อยู่แทบทุกวันก็เริ่มหายไป กลายมาเป็นสีน้ำตาลปนแดง เข้ามาแทน และด้วยความพยายามของเขาที่จะให้มีความเศร้าในงานที่เขาเขียนน้อยที่สุด ปิกาสโซ่จึงเพิ่ม นักเต้นรำ นักกายกรรม และตัวตลก เข้ามาไว้ในภาพของเขาภาพทั้งหมด ที่เขาเขียนในระหว่างปี ค.ศ.1905-1907 นี้ถูกจัดเป็นยุคสีกุหลาบ
ปีค.ศ.1907 ปิกาสโซ่ได้เปลี่ยนแปลงแนวทางในการวาดรูปใหม่ โดยได้เขียนภาพที่ชื่อ " Les Demoiselles d’Avignon " ภาพที่เขียนขึ้นมานี้ แสดงให้เห็นว่า ปิกาสโซ่ได้เกิดความหลงใหล ในศิลปะแบบดั้งเดิม จำพวกงานแกะสลัก และโดยเฉพาะศิลปะของแอฟริกา ภาพนี้ถือเป็นจุดกำเนิด ของความเปลี่ยนแปลงทางศิลปะขึ้น เพราะปิกาสโซ่ได้คิดค้นศิลปะแบบใหม่ โดยยึดเอาหลักการ ของลูกบาศก์มาใช้ และเขียนในทำนองเพ้อฝัน เขาได้ทำการทดลองในการวิเคราะห์รูปทรงทาง เรขาคณิต โดยร่วมมือกับบรรดาเพื่อนฝูงของเขา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ จอร์เจส บากค์ จนกระทั่งในปี ค.ศ.1921 ภาพเขียนที่ชื่อว่า " นักดนตรีทั้งสาม " ( The three Musicians ) ก็ได้ถูกเขียนขึ้น ถือเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ได้รับจากการนำทฤษฎีใหม่นี้มาใช้
ในปี ค.ศ.1917 ปิกาสโซ่ตัดสินใจไปยังกรุงโรม เพื่อออกแบบเครื่องแต่งกายและออกแบบฉาก ให้กับคณะบัลเล่ต์ ด้วยการทำงานในแนวนี้ ถือเป็นการขยายขอบเขตของการสร้างสรรค์ให้กับตนเอง ในปี ค.ศ.1918-1925 ปิกาสโซ่ได้เริ่มต้นที่จะเขียนภาพไปในแนวคลาสสิกอีกครั้งนับตั้งแต่วันแรกที่ปิกาสโซ่ตัดสินใจมาอยู่ที่ปารีสเมื่อ ค.ศ.1904 ไปจนถึงปี ค.ศ.1911 และรวมไปถึงวันที่ เขาเสียชีวิตลงนั้น ปิกาสโซ่ได้ผัวพันอยู่กับผู้หญิงหลายคน คนแรกคือ มาร์แชล ฮัมแบท ต่อมาในปี ค.ศ.1918 เขาได้แต่งงานกับนักเต้นบัลเล่ย์ชาวรัสเซีย ชื่อว่า โอลก้า โคโคลวา แต่ต่อมาก็แยก ทางกัน และถึงขั้นหย่าร้างไปในที่สุด ปิกาสโซ่มีบุตรกับโอลก้า 1 คน ชื่อ เปาโล โอลก้าเสียชีวิตลงในปี ค.ศ.1955 เมื่อปิกาสโช่อายุได้ 80 ปี เขาได้แต่งงานใหม่ในปี ค.ศ.1961 กับหญิงสาวที่เป็น นางแบบให้เขาเขียนภาพนั่นเอง เธอมีชื่อว่า แจ็คเกอรีน โร้ค ช่วงเวลาระหว่างการแต่งงานทั้งสองครั้งนี้ ปิกาสโซ่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับผู้หญิงอีกหลายคน ซึ่งต่างคนต่างก็มีอิทธิพลต่อการเขียนรูป ของเขา หญิงสาวที่เป็นที่รักยิ่งของเขา คือ มาเรีย เทสเซ่ วอร์เตอร์ ซึ่งเขาได้พบเมื่อตอนต้นปี ค.ศ.1930 และภายหลังได้กลายมาเป็นมารดาให้กับลูกสาวของเขานามว่า มาเรีย นอกจากวอร์เตอร์ แล้ว ดอร่าแมท์ หญิงสาวชาวยูโกสลาเวีย ที่เขาพบในปี ค.ศ.1936 และผู้หญิงอีกคนในชีวิตของ เขาก็คือ ฟรานซิส จีลอต จีลอตอยู่กินกับปิกาสโซ่ตั้งแต่ปี ค.ศ.1946 ไปจนถึงปี ค.ศ.1953 และได้ให้กำเนิดบุตรกับปิกาสโซ่ 2 คน คือ คลาว ซึ่งเกิดเมื่อปี ค.ศ.1947 และปาโลมา ซึ่งเกิดหลังจากคลาว 2 ปี ด้วยการที่ปิกาสโซ่ได้พบกับจีลอตนั้น ทำให้ปิกาสโซ่เกิดแรงบันดาลใจ ที่จะเขียนรูปไปในทางตำนานต่างๆ เช่นเขียนรูปของ ฟอน นิมส์ เซนต์ทอรส์ และไปเปอร์

ปิกาสโซ่ใช้ชีวิตอยู่ที่ฝรั่งเศส จนได้ผ่านสงครามโลกครั้งที่สองมาแล้ว แต่ในยุคที่ฝรั่งเศษตก เป็นเมืองขึ้นของเยอรมันนั้น ผลงานเขียนภาพของปิกาสโซ่ ก็ถูกระงับไว้ไม่ให้นำมาแสดง ในปี ค.ศ.1944 ปิกาสโซ่ได้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ของฝรั่งเศษ และในปี ค.ศ.1955 ปิกาสโซ่ได้ย้ายไปอยู่ที่ริเวียร่าในฝรั่งเศษ ถึงแม้จะย้ายไป แต่ปิกาสโซ่ก็ยังคงทำงานต่อไปจนถึงอายุ 90 ปี

ปิกาสโซ่เป็นศิลปินที่มีความรอบรู้ในหลายๆด้าน เขาสามารเป็นได้ทั้ง นักเซรามิกส์ ช่างแกะสลัก และศิลปินทางด้านงานกราฟฟิก ทรัพย์สมบัติต่างๆที่ปิกาสโซ่หามาได้นั้น ได้มีการตีราคาของ สมบัติทั้งหมดเป็นเงินถึง 300 ล้านดอลล่าร์ ปิกาสโซ่เสียชีวิตในวันที่ 8 เมษายน ของปี ค.ศ.1973 ที่มอร์กิส ประเทศฝรั่งเศส


ผลงาน




Portrait of Picasso
วาดภาพเมื่อปี ค.ศ.1912เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนผืนผ้าใบขนาดภาพ 93.4 x 74.3 ซม. (36 3/4 x 29 1/4 นิ้ว)สถานที่แสดง Art Institute of Chicago






Man in the Cafe
วาดภาพเมื่อปี ค.ศ.1912เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนผืนผ้าใบขนาดภาพ 128.2 x 88 ซม.สถานที่แสดง Philadelphia Museum of Art



Le Lavabo
วาดภาพเมื่อปี ค.ศ.1912เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนผืนผ้าใบด้วยกระดาษแลกระจกขนาดภาพ 51 นิ้ว X 35 นิ้วกรุงปารีส






Landscape with Houses at Ceret
วาดภาพเมื่อปี ค.ศ.1913เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนผืนผ้าใบขนาดภาพ 100 x 65 ซม. (39 3/8 x 25 5/8 นิ้ว)เมือง Madrid






Landscape at Ceret
วาดภาพเมื่อปี ค.ศ.1913เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนผืนผ้าใบขนาดภาพ 92 x 60 ซม. (36 1/4 x 23 5/8 นิ้ว)สถานที่แสดง Moderna Museetเมือง Stockholm







The Man at the Caf้
วาดภาพเมื่อปี ค.ศ.1914เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนกระดาษติดลงบนผืนผ้าใบขนาดภาพ 99 x 72 ซม. (39 x 28 3/8 นิ้ว)เมืองนิวยอร์ก







Still Life before an Open Window: Place Ravignan
วาดภาพเมื่อปี ค.ศ.1915เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนผืนผ้าใบขนาดภาพ 116 x 89 ซม. (45 5/8 x 35 นิ้ว)สถานที่แสดง Philadelphia Museum of Art



วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

มีเกลันเจโล




มีเกลันเจโล หรือชื่อเต็มว่า มีเกลันเจโล ดี โลโดวีโก บัวนาร์โรตี ซีโมนี (อังกฤษ: Michelangelo di Lodovico Buonarroti Simoni, 6 มีนาคม ค.ศ. 1475 - 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564) เป็นจิตรกร สถาปนิก และประติมากรชื่อดังชาวอิตาลี



ศิลปินที่เข้าถึง 3 ศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก เขาไม่เป็นเพียงผู้ที่เข้าถึงแต่เพียงศาสตร์ด้านวิจิตรศิลป์ แต่เขายังเข้าถึงความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรม และประติมากรรมอีกด้วย เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 1475 และเติบโตที่เมืองฟลอเรนซ์ ภายหลังเป็นผู้สร้างประติมากรรมหินอ่อนชื่อกระฉ่อนโลกนามว่า เดวิด (David)
หลังจากที่ไปอยู่ที่
กรุงโรม



เมื่ออายุ 21 ปี และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นถึง 5 ปี มีเกลันเจโล สร้างประติมากรรมรูปเดวิด ตอนอายุ 26 ปี จากหินอ่อนก้อนมหึมาที่ถูกทิ้งไว้กลางเมืองฟลอเรนซ์เป็นเวลาหลายปี จึงกลายเป็นที่ฮือฮาของชาวเมือง ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่มีใครกล้าพอที่จะแตะต้องมันนั่นเอง ความสำเร็จหลังจากงานชิ้นนี้ ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั่วอิตาลี มีเกลันเจโลเดิมทีเป็นคนที่เกลียด เลโอนาโด ดาวินชี ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะมีอายุห่างกันถึง 23 ปี และไม่ค่อยได้พบกันบ่อยนัก (คล้ายกับ "การที่เสือสองตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้") ในช่วงนี้ (1497-1500) เขาก็ได้สร้างประติมากรรมหินอ่อนอีกชิ้นหนึ่งที่มีชื่อว่า ปีเอตะ (Pietà) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter's Basilica) ที่กรุงโรม



ตอนอายุได้ 30 ปี เขาได้ถูกเชิญให้กลับมาที่กรุงโรม เพื่อออกแบบหลุมฝังศพให้กับ พระสันตะปาปาจูเลียส ที่ 2 ซึ่งใช้เวลาประมาณ 40 ปี หลังจากแก้หลายครั้งหลายครา จนมาสำเร็จในปี 1545 ต่อมาในปี 1546 เขาเป็นสถาปนิกคนสำคัญในการสร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่กรุงโรม ที่มีความยิ่งใหญ่และงดงามเป็นอย่างมาก ซึ่งถือเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลก โดยเฉพาะส่วนที่เป็นโดม



เขาใช้ชีวิตในบั้นปลายอยู่ในกรุงโรม ตลอด 30 ปี ช่วงนี้นั้นเองที่เขาเขียนภาพระดับโลกไว้มากมาย โดยเฉพาะ The Last Judgement (Last Judgment) ซึ่งเขาใช้เวลาในการเขียนภาพขนาดยักษ์นี้นานถึง 6 ปี
มีเกลันเจโล บัวนาร์โรตี เสียชีวิตลงเมื่ออายุได้ 90 ปี ซึ่งมีคำกล่าวจาก พระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ว่า "ทรงยินดีบั่นทอนชีวิตของท่านลง เพื่อแลกกับชีวิตของ มิเกลันเจโล ให้ยืนยาวออกไปอีก"


วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552




โบสถ์เซนต์โซเฟีย" หรือปัจจุบันเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า "สุเหร่าเซนต์โซเฟีย" ตั้งอยู่ในกรุงคอนสแตนติโนเปิล ประเทศตุรกี


สำหรับโบสถ์นี้มีชื่อเต็มมาจากภาษากรีก แปลว่า โบสถ์แห่งปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ โดยคำว่า "โซเฟีย" มาจากภาษาละตินที่เปลี่ยนมาจากคำในภาษากรีกที่แปลว่า "ปัญญา" อีกทีหนึ่ง จึงไม่มีความเกี่ยวข้องกับเซนต์ที่ชื่อโซเฟียแต่อย่างใด


โบสถ์เซนต์โซเฟีย หรือสุเหร่าเซนต์โซเฟีย ปัจจุบันเป็นที่ประชุมสวดมนต์ของชาวมุสลิม ซึ่งในอดีตเคยเป็นโบสถ์ทางศาสนาคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์ ที่พระเจ้าจักรพรรดิ์คอนสแตนตินเป็นผู้สร้าง เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 13 ใช้เวลาสร้าง 17 ปี เพื่อเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์ แต่ถูกผู้ก่อการร้ายบุกทำลายเผาเสียวอดวายหลายครั้ง เพราะเกิดการขัดแย้งระหว่างพวกที่นับถือศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลาม จนถึงสมัยพระเจ้าจัสติเนียนมีอำนาจเหนือตุรกี จึงได้สร้างโบสถ์เซนต์โซเฟียขึ้นใหม่ ใช้เวลาสร้างฐานโบสถ์ 20 ปี ตัวโบสถ์ 5 ปี


เมื่อประมาณปี พ.ศ.1996 (ค.ศ.1435) พระองค์ต้องการให้เป็นสิ่งสวยงามที่สุด จึงได้พยายามหาสิ่งของมีค่าต่างๆ มาประดับไว้มากมาย และได้ทุ่มงบประมาณจำนวนมากขยายโบสถ์เซนต์โซเฟียให้ใหญ่โตชนิดที่เรียกว่าต้องใหญ่กว่าโบสถ์คริสต์ทุกแห่งในโลก หลังจากสร้างเสร็จได้มีการเฉลิมฉลองกันอย่างมโหฬาร ต่อมาเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ทำให้แตกร้าว ต้องให้ช่างซ่อมจนเรียบร้อยแบบในสภาพเดิมเมื่อสิ้นสมัยของจักรพรรดิจัสติเนียน ถึงสมัยพระเจ้าโมฮัมเหม็ดที่ 2 มีอำนาจเหนือตุรกี และเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม ทรงเห็นว่าโบสถ์เซนต์โซเฟียนั้นของเดิมสร้างได้ใหญ่โตแข็งแรงและสวยงามอยู่แล้ว จึงไม่ทำลายเหมือนเช่นศาสนสถานแห่งอื่น หากแต่ทรงบัญชาเปลี่ยนแปลงภายในโบสถ์เสียใหม่ ให้เป็นสุเหร่าอิสลาม แต่ยังคงความงามไว้เช่นเดิม


• งดงามจนได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง
โบสถ์เซนต์โซเฟีย หรือสุเหร่าเซนต์โซเฟียแห่งนี้มีเนื้อที่ 700 ตารางเมตร ภายในมีเสางามค้ำที่สลักอย่างวิจิตรและ ประดับไว้งดงาม 108 ต้น (ชั้นบนขนาดเล็ก 68 ต้น ชั้นล่างขนาดใหญ่ 40 ต้น) มีจุดเด่นอยู่ตรงยอดที่เป็นโดมขนาดมหึมากลางวิหาร คล้ายซาลาเปา มีหอมินาเรสท์เป็นยอดแหลมๆ มากมาย เนื่องจากศิลปะแบบคริสเตียนผสมกับอิสลามนี้เอง ทำให้มีความสวยงามอันน่ามหัศจรรย์
นอกจากนี้ บรรยากาศภายในโบสถ์ค่อนข้างสลัว เพราะแสงเข้ามาน้อย แต่เย็น เพราะโครงสร้างส่วนใหญ่ทำด้วยหินอ่อน และงานโมเสกชิ้นสำคัญๆ ส่วนใหญ่อยู่ด้านขวาของโบสถ์ แต่ละชิ้นมีขนาดใหญ่และอยู่สูงขึ้นไปจรดเพดาน ต้องแหงนคอดูเช่นกัน


ปัจจุบันโบสถ์เซนต์โซเฟียได้กลายเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไปแล้ว และด้วยโครงการทำโบสถ์ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ในปี ค.ศ.1930 นี่แหละ ที่มีการค้นพบภาพโมเสกอันประมาณค่ามิได้ของโบสถ์เซนต์โซเฟีย
ถ้าใครมีโอกาสได้เข้าชมโบสถ์เซนต์โซเฟียแห่งนี้...คงจะได้รับความรู้และได้เปิดมุมมองใหม่ๆ ได้ไม่มากก็น้อยเกี่ยวกับความแตกต่างของสองศาสนาที่มีความขัดแย้งกันมาเป็นพันๆ ปีว่า ทำไมสามารถมารวมอยู่ในที่เดียวกันได้อย่างกลมกลืนและงดงาม

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วันเข้าพรรษา


"เข้าพรรษา" แปลว่า "พักฝน" หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ แม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยียบข้าวกล้าและพืชอื่นๆ จนเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน คือ เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ถ้าปีใดมีเดือน 8 สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือนแปดหลัง และออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เว้นแต่มีกิจธุระเจ้าเป็นซึ่งเมื่อเดินทางไปแล้วไม่สามารถจะกลับได้ในเดียวนั้น ก็ทรงอนุญาตให้ไปแรมคืนได้ คราวหนึ่งไม่เกิน 7 คืนเรียกว่า สัตตาหะ หากเกินกำหนดนี้ถือว่าไม่ได้รับประโยชน์ แห่งการจำพรรษา จัดว่าพรรษาขาด ระหว่างเดินทางก่อนหยุดเข้าพรรษา หากพระภิกษุสงฆ์เข้ามาทันในหมู่บ้านหรือในเมืองก็พอจะหาที่พักพิงได้ตามสมควร แต่ถ้ามาไม่ทันก็ต้องพึ่งโคนไม้ใหญ่เป็นที่พักแรม ชาวบ้านเห็นพระได้รับความลำบากเช่นนี้ จึงช่วยกันปลูกเพิง เพื่อให้ท่านได้อาศัยพักฝน รวมกันหลาย ๆองค์ ที่พักดังกล่าวนี้เรียกว่า "วิหาร" แปลว่าที่อยู่สงฆ์ เมื่อหมดแล้ว พระสงฆ์ท่านออกจาริกตามกิจของท่านครั้งถึงหน้าฝนใหม่ท่านก็กลับมาพักอีกเพราะสะดวกดี แต่บางท่านอยู่ประจำเลย บางทีเศรษฐีมีจิตศัรทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็เลือกหาสถานที่สงบเงียบไม่ห่างไกลจากชุมชนนัก สร้างที่พัก เรียกว่า "อาราม" ให้เป็นที่อยู่ของสงฆ์ดังเช่นปัจจุบันนี้

โดยปรกติเครื่องใช้สอยของพระ ตามพุทธานุญาตให้มีประจำตัวนั้น มีเพียงอัฏฐบริขารอันได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ เข็ม บาตร รัดประคด หม้อกรองน้ำ และมีดโกน และกว่าพระท่านจะหาที่พักแรมได้ บางทีก็ถูกฝนต้นฤดูเปียกปอนมา ชาวบ้านที่ใจบุญจึงถวายผ้าจำนำพรรษา หรือผ้าอาบน้ำฝนสำหรับให้ท่านได้ผลัดเปลี่ยน และถวายของจำเป็นแก่กิจประจำวันของท่านเป็นพิเศษในเข้าพรรษานับเป็นเหตุให้มีประเพณีทำบุญเนื่องในวันนี้สืบมา การที่พระภิกษุสงฆ์ท่านโปรดสัตว์อยู่ประจำเป็นที่เช่นนี้ เป็นการดีสำหรับสาธุชนหลายประการ กล่าวคือ ผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามพระพุทธบัญญัติก็นิยมบวชพระ ส่วนผู้ที่อายุยังไม่ครบบวชผู้ปกครองก็นำไปฝากพระ โดยบวชเป็นเณรบ้าง ถวายเป็นลูกศิษย์รับใช้ท่านบ้าง ท่านก็สั่งสอนธรรม และความรู้ให้ และโดยทั่วไป พุทธศาสนิกชนนิยมตักบาตรหรือไปทำบุญที่วัด นับว่าเป็นประโยชน์

การปฏิบัติตน ในวันนี้หรือก่อนวันนี้หนึ่งวัน พุทธศาสนิกชนมักจะจัดเครื่องสักการะเช่น ดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องใช้ เช่น สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น มาถวายพระภิกษุ สามเณร ที่ตนเคารพนับถือ ที่สำคัญคือ มีประเพณีหล่อเทียนขนาดใหญ่เพื่อให้จุดบูชาพระประธานในโบสถ์อยู่ได้ตลอด 3 เดือน มีการประกวดเทียนพรรษา โดยจัดเป็นขบวนแห่ทั้งทางบกและทางน้ำ

แม้การเข้าพรรษาจะเป็นเรื่องของภิกษุ แต่พุทธศาสนิกชนก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ ทำบุญรักษาศีลและชำระจิตใจให้ผ่องใส ก่อนวันเข้าพรรษาชาวบ้านก็จะไปช่วยพระทำความสะอาดเสนาสนะ ซ่อมแซมกุฏิวิหารและอื่นๆ พอถึง วันเข้าพรรษาก็จะไปร่วมทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรมและรักษาอุโบสถศีลกันที่วัด บางคนอาจตั้งใจงดเว้น อบายมุขต่างๆ เป็นกรณีพิเศษ เช่น งดเสพสุรา งดฆ่าสัตว์ เป็นต้น อนึ่ง บิดามารดามักจะจัดพิธีอุปสมบทให้บุตรหลาน ของตนโดยถือกันว่าการเข้าบวชเรียนและอยู่จำพรรษาในระหว่างนี้จะได้รับ อานิสงส์อย่างสูง


กิจกรรมสำหรับพุทธศาสนิกชนในวันเข้าพรรษา

๑. ร่วมกิจกรรมทำเทียนจำนำพรรษา

๒. ร่วมกิจกรรมถวายผ้าอาบน้ำฝน และจตุปัจจัย แก่ภิษุสามเณร

๓. ร่วมทำบุญ ตักบาตร ฟังธรรมเทศนา รักษาอุโบสถศีล

๔. อธิษฐาน งดเว้นอบายมุขต่างๆ

วันอาสาฬหบูชา







ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี จะตรงกับวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกหนึ่งวัน นั่นคือ "วันอาสาฬหบูชา" ทั้งนี้ คำว่า "อาสาฬหบูชา" สามารถอ่านได้ 2 แบบ คือ อา-สาน-หะ-บู-ชา หรือ อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา ซึ่งจะประกอบด้วยคำ 2 คำ คือ อาสาฬห ที่แปลว่า เดือน 8 ทางจันทรคติ กับคำว่า บูชา ที่แปลว่า การบูชา เมื่อนำมารวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน 8 หรือการบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเดือน 8


วันอาฬหบูชา คือวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้ได้ 2 เดือน โดยแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานาม และพระอัสสชิ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ จนพระอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา จึงถือว่าวันนี้มีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์ครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช 45 ปี


ทั้งนี้ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ปัจจวัคคีย์ทั้ง 5 เรียกว่า "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม ซึ่งหลังจากปฐมเทศนา หรือเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงจบลง พระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน จึงขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานอุปสมบทให้ด้วยวิธีที่เรียกว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" พระโกณฑัญญะจึงได้เป็น พระอริยสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ต่อมา พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม และได้อุปสมบทตามลำดับ


สำหรับใจความสำคัญของการปฐมเทศนา มีหลักธรรมสำคัญ 2 ประการ คือ


1. มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลางๆ ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดำเนินชีวิตที่เอียงสุด 2 อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือ


การหมกมุ่นในความสุขทางกาย มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง รวมความเรียกว่าเป็นการหลงเพลิดเพลินหมกมุ่นในกามสุข หรือกามสุขัลลิกานุโยค


การสร้างความลำบากแก่ตน ดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย เช่น บำเพ็ญตบะการทรมานตน คอยพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น ซึ่งการดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกาย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค


ดังนั้น เพื่อละเว้นห่างจากการปฏิบัติทางสุดเหล่านี้ ต้องใช้ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ 8 ประการ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ 8 ได้แก่


1 สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง


2. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม


3. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต


4. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต


5. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรืออาชีพที่สุจริต


6. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี


7. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด


8. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน


2. อริยสัจ 4 แปลว่า ความจริงอันประเสริฐของอริยะ ซึ่งคือ บุคคลที่ห่างไกลจากกิเลส ได้แก่


1. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริงว่ามันคืออะไร ต้องยอมรับรู้ กล้าสู้หน้าปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจในสภาวะโลกว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ไม่ยึดติด


2. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการสำคัญของทุกข์ คือ ตัณหาหรือเส้นเชือกแห่งความอยากซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยอื่นๆ


3. นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระ อยู่อย่างรู้เท่าทันโลกและชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา


4. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห้งการแก้ปัญหา อันได้แก่ มรรคมีองค์ 8 ประการดังกล่าวข้างต้น


ส่วนพิธีกรรมโดยทั่วไปที่นิยมกระทำในวันนี้ คือ การทำบุญ ตักบาตร รักษาศีล ฟังพระธรรมเทศนา และสวดมนต์ ในตอนค่ำก็จะมีการเวียนเทียนที่เป็นการสืบทอดประเพณีอันดีงามของไทยเรา ดังนั้น พุทธศาสนิกชนทั้งหลายควรเข้าวัด เพื่อน้อมระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อีกทั้งยังเป็นการช่วยชะล้างจิตใจให้ปลอดโปร่งผ่องใส จะได้มีร่างกายและจิตใจที่พร้อมสำหรับการดำเนินชีวิตในยุคที่ค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้นอย่างนี้......

วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552

idiom part 1

1.Ask for (ถาม,ขอ)
eg. He always askes his father for money.She often askes for you.

2.Answer the door (ไปดู,ไปรับ)
eg. Someone is calling me at the door, I have to answer it.

3.Agree with (เห็นด้วยกับบุคคล)
eg. I agree with you in this matter.

4.Agree to (เห็นด้วยกับข้อเสนอ)
eg. All of us agree to your proposal.

5.Blow out (ระเบิด,ทำให้ดับ)
eg. Becareful, it will blow out.Please blow out the lamp before going to bed.

6.Build up (เสริมสร้าง,ทำให้แข็งแรง)
eg. One should take exercise in order to build up one's strenght.

7.Break down (เสื่อม,ชำรุด,กำจัด)
eg. If you work so hard, your health will break down.

8.Break into (งัด,จู่โจม,แตก)
eg. Last night the thief broke into his house.

9.Break off (ยับยั้ง,ถอน,ขัดจังหวะ)
eg. She broke off his engagement last month.

10.Break out (เกิดขึ้น,ปรากฏในทันทีทันใด)
eg. The moon broke out among the croud.

11.Break with (ทะเลาะ,โกรธ)
eg. Why do you break with her?

12.Bring about (ก่อให้เกิด)
eg. Much rains brought about flood.Laziness brought about poverty.

13.Bring up (เลี้ยงดูให้เติบโต)
eg. I brought up four children in my family.

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สวิตเซอร์แลนด์






สวิตเซอร์แลนด์ได้รับการยกย่องว่าเป็นประเทศที่มีภูมิประเทศเมือง และผู้คน พร้อมสำหรับการท่องเที่ยวติดอันดับหนึ่งของโลกตลอดมา สามารถชมความงามของเมืองและทิวทัศน์ได้อย่างง่ายดาย ด้วยระบบการคมนาคมที่ดีที่สุด สะดวกสบายที่สุด มีโครงข่ายเชื่อมโยงที่สะดวกสบายและเอื้ออำนวยแก่นักท่องเที่ยวในการเดินทางด้วยรถไฟ รถเมล์ รถราง รถขึ้นเขาระบบสอดคล้องกัน โดยมีการเดินทางโดยรถไฟเป็นเส้นทางหลัก ความสะดวกเริ่มตั้งแต่เดินทางถึงสนามบินซูริค (Zurich) นักท่องเที่ยวสามารถที่จะเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางที่ต้องการได้ จากสถานีรถไฟที่อยู่ในชั้นใต้ดินของตัวอาคาร สนามบินนั่นเอง รถไฟที่นี่รักษาเวลาไม่มี คลาดเคลื่อน รถไฟหลายสายมีตู้เสบียงที่มี อาหารและเครื่องดื่มบริการด้วย การเดินทางท่องเที่ยวโดยรถโดยสารนอกเมือง (Postal Bus) จะได้สัมผัสกับชีวิตความเป็นอยู่ในชนบท ทิวทัศน์ที่แปลกตาและการเดินทางวกวนไปตามไหล่เขาสูง(Mountain Pan) มีธารน้ำแข็งให้เห็นทั่วไปตามยอดเขาแม้ในฤดูร้อนก็ตาม เส้นทางเช่นนี้ส่วนใหญ่ทางจะปิดในฤดูหนาวเพราะมีหิมะปกคลุมจนไม่สามารถสัญจรได้ (ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนเดินทาง) สถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งสกีตาม เทือกเขาจะมีรถกระเช้า (Cable Car) และสกีลิฟต์ (Ski Lift) ไว้บริการ นอกเหนือไปจากรถไฟฟ้าที่ทำงานด้วยรอกกว้านและโซ่ฟันเฟืองในบางแห่ง (Funiculars/Cogwheel


พลาดไม่ได้ต้องไป


1.เมืองลูเซิร์น เมืองที่ประทับของสมเด็จย่าและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสำเร็จการศึกษาจากเมืองนี้ เป็นเมืองตากอากาศสุดฮอต ที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบใหญ่ที่ชื่อว่า “เวียวาลด์ สแตร์ทเตอร์” มีอนุสาวรีย์สิงโตแกะสลักริมหน้าผาสัญลักษณ์แห่งความกล้าหาญ มีร้านขายนาฬิกาชื่อดังหลายแห่งในย่านช็อปปิ้ง


2. กรุงเบิร์น มรดกโลกอันล้ำค่าที่ถ่ายทอดและอนุรักษ์มาสู่ปัจจุบัน เที่ยวชมเมืองชมหอนาฬิกา ชมโบสถ์ และย่านเมืองเก่า


3. นครเจนีวา นครแห่งความงาม ตั้งอยู่ริมทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปกลาง (ลัคเลอมังค์) เป็นประตูสู่เทือกเขาแอลป์ มีนาฬิกาดอกไม้ริมทะเลสาบและน้ำพุ เป็นสัญลักษณ์ของเมือง


วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

10 อันดับโรงแรมที่หรูที่สุดในโลก

อันดับ 10 The Apeiron โรงแรมเกาะกลางทะเล



โรงแรม Apeiron island จัดเป็นโรงแรมระดับ 7 ดาว มีพื้นที่ประมาณ 2 แสนตารางเมตร ตั้งอยู่บนความสูง 185 เมตร มีห้องพักระดับหรูหรา มากกว่า 350 ห้อง ทุกอย่างที่อยู่ในโรงแรมนี้คือคำนิยามของความไฮเทคที ่มีระดับ มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก เพราะตัวโรงแรมสร้างลากูนขึ้น กลางน้ำเป็นของตัวเอง รวมถึงหาดทรายกลางทะเล ภัตตาคารสุดหรู โรงหนัง แหล่งชอปปิ้ง แกลลอรี่ศิลปะ สปาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ทำให้การ ประชุมทางไกลกับโลกพื้นดินทำได้โดยสะดวก แม้ถูกจัดอันดับให้เป็นอันดับ 10 แต่ก็ยังไม่ถูกสร้างเสียที




อันดับ 9 Foldable hotel pods โรงแรมลอยน้ำ



มื่อต้นปีที่ผ่านมาบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านการออกแบบข องอังกฤษรายนี้ได้เผยโฉมต้นแบบโรงแรมยักษ์ใหญ่กลางทะ เลแห่งนี้ขึ้นมาในงาน ? Future Holiday Forum โดยชี้ให้เห็นว่าด้วยเทคโนโลยีการเดินทางสมัยใหม่บวก กับการออกแบบชั้นยอด ทำให้โรงแรมชั้นเยี่ยมสมัยใหม่ สามารถไปตั้งอยู่กลางทะเลที่ไหนก็ได้ที่บรรดาแขกอยาก ไป และอยู่ได้เป็นเวลานานๆ





อันดับ 8 โรงแรม Burj al-Arab เมื่อตะวันออกพบตะวันตก ประเทศสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์



โรงแรมนี้จัดว่าขึ้นชื่อระดับโลก เพราะก่อสร้างและเปิดดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ถือเป็นโรงแรมระดับ 7 ดาวแห่งแรกของโลก ความสูงของโรงแรม อยู่ที่ 321 เมตร ตัวโรงแรมนั้นถูกออกแบบมาให้เป็นเหมือนใบพัดเรือ บนพื้นที่ที่เป็นเหมือนเกาะอยู่ห่างจากหาด Jumeirah ประมาณ 280 เมตร ความสุดยอดของโรงแรมนี้อีกอย่างหนึ่งคือการเป็นเอเทร ียมที่สูงที่สุดในโลก คือสูงถึง 180 เมตร มีห้องพักกว่า 200 ห้องที่ไม่ซ้ำกันเลย ด้วย ราคาระหว่าง 1,000 ไปจนถึงมากกว่า 28,000 เหรียญสหรัฐต่อคืน ในตัวโรงแรมมีภัตตาคาร 8 แห่ง แต่ละแห่งมีทั้งบาร์และเลาจ์ ฟิตเนส และ สิ่งอำนวยความสะดวก



อันดับ 7 Waterworld โรงแรมกลางน้ำตกยักษ์ ประเทศจีน



แค่เห็นดีไซน์ก็รู้แล้วว่านี่มันเป็นโรงแรมแห่งความฝันชัดๆ เพราะตัวโรงแรมเหมือนฝังไปกับน้ำตกแห่งหนึ่งในเมืองจีน ตัวโรงแรมนี้ออกแบบ ให้มีห้องพัก 400 ห้อง ที่สำคัญห้องอยู่ใต้น้ำตก ลูกเล่นที่เป็นทีเด็ดก็คือ สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมบริเว ณอ่าวของ โรงแรม ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำที่หรูสุดๆ หน้าผาระดับพระเจ้าให้ปีนไต่ และบันจี้จั๊มพ์ รวมถึงลูกเล่นอื่นๆ และโรงแรมนี้จะมีโอกาสสร้างก็ต่อเมื่อผ่านเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้วเท่านั้น



อันดับ 6 The Poseidon รีสอร์ทใต้ทะเล



ด้วยพื้นที่ใต้น้ำลึกกว่า 1,200 ตารางฟุตแห่งนี้เป็นรีสอร์ทที่ถูกจับตามากที่สุดแห่ง หนึ่งในโลก เพราะเป็นรีสอร์ทใต้น้ำแห่งแรกของโลกที่จะสร้าง เสร็จภายในปี2009 มีห้องพักสุดหรูขนาด ใหญ่ึถึง 550 ตารางฟุต และนักท่องเที่ยวที่ไปเยี่ยมเยียนรีสอร์ทแห่งนี้ สามารถใช้บริการขับเรือดำน้ำ สามารถดำดิ่งไปดูปะการังน้ำลึก ดำน้ำแบบสกูบ้า กีฬาทางน้ำทุกชนิดเท่าที่นึกได้ แล่นเรือใบพารา สำรวจถ้ำ และอื่นๆ อีกมากมาย





อันดับ 5 The Hydropolis : โรงแรมใต้น้ำระดับ 10 ดาว





เป็นอีกโรงแรมหนึ่งที่อาศัยทะเลเป็นฉากหลังอันตระการ ตาให้กับผู้มาพัก ตัวโรงแรมคาดหมายว่าจะสร้างกันที่ดูไบ โดยเฉพาะตัวโรงแรมนั้น ได้ใส่ศูนย์การค้าขนาดยักษ์ที่มีพื้นที่กว่า 1.1 ล้านตารางฟุตเข้าไปด้วย ในตัวโรงแรมยังมีห้องบอลรูมขนาดยักษ์ มีโรงภาพยนต์ดิจิตอลไฮเทค สุดอลังการ และที่เจ๋งสุดๆ ก็คือมีระบบป้องกันตัวเองด้วยจรวดมิสไซล์ที่อยู่ต่ำก ว่าน้ำทะเลลงไป 60 ฟิต ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถสนุกกับเครื่อง เล่นมากมายในสถานที่ที่เป็น ธีมต่างๆ กว่า 220 แห่ง ความคืบหน้าล่าสุดของโครงการนี้มี 150 บริษัทที่กระโดดเข้ามาร่วมแย่งชิงกันอยู่ และกว่า จะรู้ว่าใครจะเป็นผู้ได้ดำเนินโครงการก็ประมาณปลายปี นี้







อันดับ 4 The Lunatic Hotel : โรงแรมบนดวงจันทร์







เปลี่ยนบรรยากาศไปที่โรงแรมบนดวงจันทร์กันบ้างดีกว่า และโครงการนี้ไม่ถือว่าโคมลอยแต่อย่างใด โอกาสที่จะเป็นจริงมีมากเหลือเกินซึ่ง ถ้าเปิดให้บริการเมื่อไหร่คงต้องเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกแน่นอน ถือว่านี่เป็นอีกความฝันของปี 2050 ที่ต้องไปให้ถึงเลยทีเดียว(อีกไม่กี่ปีเอง)







อันดับ 3 Aeroscraft : โรงแรมบินสุดหรูสำหรับวันพรุ่งนี้







สำหรับโครงการ Aeroscraft บอลลูนยักษ์ลอยฟ้าที่อัดแน่นด้วยพลังงานกว่า 400 ตัน ทำให้สามารถนำพาผู้โดยสารเหินไปกลางอากาศด้วย ความเป็นอยู่ที่หรูหราสุดยอด ที่มีพื้นที่เท่ากับสนามฟุตบอลสองสนามลอยอยู่บนอากาศ ด้วยก๊าซฮีเลียมจำนวน 14ล้านลูกบาศก์ฟุต ตามติด ด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดยักษ์และเชื้อเพลิงไฮโ ดรเจน มีพัดลมขนาดยักษ์ 6 ตัว สามารถนำผู้โดยสารไปได้ประมาณ 250 คน ด้วย ความเร็ว 174 ไมล์ต่อชั่วโมง ที่ความสูง 6,000 ไมล์ ในตัวโรงแรมจะมีคาสิโน ภัตตาคาร ฯลฯ







อันดับ 2 Galactic Suite โรงแรมอวกาศ


จากความพยายามของ Xavier Claramunt ที่ต้องการผจญภัยในอวกาศด้วยยานขนส่ง ซึ่งตัวยานนั้นออกแบบมาให้มีห้องพัก 22ห้อง ขนาด 7x4 เมตร พร้อมหน้าต่างที่เปิดให้เห็นวิวอวกาศ และสิ่งอำนวยความสะดวก คราวนี้ก็ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งนาซา หรือรัสเซียในการจ่ายเงินที่แพง มากในการขึ้นไปเที่ยวรอบโลกด้วยยานอวกาศเหมือนที่ผ่า นมา ตอนนี้เครื่องต้นแบบสร้างเสร็จแล้ว และอยู่ในระหว่างรอนักลงทุนกระเป๋าหนัก ที่มองเห็นอนาคตกระโดดเข้ามาลงทุนเท่านั้นเอง




อันดับ 1 Bigelow Aerospace, Las Vegas







เครื่องเดินอากาศ หรือ CSS Skywalker โรงแรมท่องบรรยากาศนอกโลก แต่ยังอยู่ในวงโคจรโลก เหมือนกับเป็นดาวเทียมขนาดใหญ่ดวงหนึ่ง นั่นเอง ด้วยพื้นที่ 1,500 ตารางเมตร และขนาดที่ใหญ่ถึง 1 แสนกิโลกรัม มีโครงสร้างของยานที่หนากว่า 18 นิ้ว ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ $1 ล้านต่อคืน