ขอบคุณเพื่อนๆมากๆเลยนะ ที่เข้ามาเยี่ยมเยียน "

Love story

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เกาะลิบง


เกาะลิบง เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอกันตัง ตั้งอยู่ที่ตำบลลิบง การเดินทางนักท่องเที่ยวต้องไปลงเรือที่ท่าเรือกันตัง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง เกาะมีพื้นที่ ประมาณ 25,000 ไร่


ได้รับประกาศเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง ซึ่งเป็นแหล่งรวมของนกหลายชนิด และเป็นที่อยู่อาศัยของปลาพะยูน รอบๆ เกาะมีแหลมและหาดหลายแห่ง เช่น หาดตูบ แหลมจุโหย แหลมทวด แหลมโต๊ะชัย เป็นต้น
บริเวณแหลมจุโหยนั้นเป็นหาดทรายซึ่งเวลาน้ำลดสามารถเดินทางไปถึงเกาะตูบ ซึ่งมีนกทะเลบินมาอาศัยนอนกลาง


เกาะนี้มีหมู่บ้านชาวประมงหลายหมู่บ้าน ประชาชนบนเกาะส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม มีเรือออกจากเกาะทุกเช้าสู่ท่าเรือกันตังและกลับประมาณเที่ยง สามารถมองเห็นทิวทัศน์เกาะเจ้าไหม และแหลมเจ้าไหมงด งามยิ่ง

วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2551

อารยธรรมโลก

อารยธรรม Civilization คือ สิ่งที่มนุษย์ช่วยกันสั่งสมขึ้นมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อดีตของมนุษย์นั้นยืนยาว ถ้านับเมื่อมนุษย์เริ่มประดิษฐ์ตัวอักษรยิ่งยาวนานกว่าเพราะมนุษย์ถือกำเนิดในโลกนี้ประมาณ 3.5-5 ล้านปีล่วงมาแล้ว ช่วงของการประดิษฐ์ตัวอักษรถือว่าเป็นสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ในแต่ละสมัยของสมัยก่อนประวัติศาสตร์ และสมัยประวัติศาสตร์ ยังแบ่งเป็นสมัยย่อยๆ เช่น ยุคหินเก่า ยุคหินกลาง ยุคหินใหม่ เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันและความสะดวกในการศึกษาค้นคว้า

ดินแดนที่เป็นต้นกำเนิดอารยธรรมนั้นส่วนใหญ่จะเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำต่างๆ เช่นบริเวณที่ราบลุ่มระหว่างแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรตีส ก็เป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย อารยธรรมอิยิปต์ก็มีศูนย์กลางอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำไนล์ (ยาวที่สุดในโลก) ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดหล่อเลี้ยงให้อียิปต์สามารถดำรงอยู่ได้อารยธรรมกรีกโบราณเจริญอยู่บริเวณแผ่นดินกรีกในยุโรป และชายฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีศูนย์กลางที่นครรัฐเอเธนส์ และนครรัฐสปาร์ต้าและในเวลาใกล้เคียงกันนั้น ได้เกิดอารยธรรมโรมันในคาบสมุทรอิตาลี ในทัศนะของโลกตะวันตก โรมันคือการพัฒนาขั้นสูงสุดของอารยธรรมโบราณ เพราะมีการรวมดินแดนทั้งหมด ในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นจักรวรรดิโรมัน ซึ่งได้รับอิทธิพลความเจริญมาจากกรีก และส่งต่ออารยธรรมนั้นสู่โลกตะวันตกพื้นฐานความเจริญที่โรมันมอบให้ โลกต่อมาคือ ภาษา ตัวอักษร กฎหมาย การเมือง ศาสนา และศิลปะ



วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2551

รู้กันหรือไม่....น้ำหอมมีความเป็นมาอย่างไร

เราเชื่อกันว่านํ้าหอมนั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว จากหลักฐานภาพวาดจิตรกรรม ฝาผนังตอนหนึ่งที่วิหารของพระราชินี Hatshepsut ที่เมือง Thebes ในประเทศ Egypt ที่เป็นรูปของหญิงสาวชาวอิยิปต์โบราณกำลังโชลม นํ้าหอมลงบนศรีษะ ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่ามีการใช้นํ้าหอม กันแล้วในยุคนั้น ซึ่งคาดว่านักเดินเรือชาวอิยิปต์ได้ไปนำมาจาก ดินแดนอื่น นํ้าหอมในสมัยโบราณนั้นจะทำมาจากยางไม้หอม ซึ่งยางไม่หอมแบบนี้จะมีอยู่ที่ Arabia และ Somalia เท่านั้น คำว่า "Perfume" นี้มีรากศัพท์มาจากภาษา ละติน ที่แปลว่า "ควัน" ในกรีก (Greek) โบราณคนที่ทำนํ้าหอมนั้นจะเป็นผู้หญิง ซึ่งได้ปรับปรุง มรดกการทำนํ้าหอมที่ตกถอดมาจากชาวอียิปต์โบราณให้พัฒนาดีขึ้นไป ในช่วงเวลาของจักรวรรดิโรมัน (Roman) การทำนํ้าหอมเขาจะใช้ยางไม้หอม จากต้นไม้จำพวก Boswellia โดยสั่งนำเข้ามาจาก Arabia และได้บวกกับส่วนผสม ที่ได้มาจากทะเลจากประเทศอินเดียซึ่งเป็นส่วนผสมใหมที่ใส่ลงไปในการทำนํ้าหอม ของชาวโรมันในสมัยนั้น เศรษฐีชาวโรมันจะใช้นํ้าหอมตามความพอใจ ชนิดที่เรียกได้ว่าใช้แบบล้างผลาญ เลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ พวกเศรษฐีเหล่านี้จะเอานํ้าหอมไปพ่นและฉีดตามพื้นและกำแพง บ้านของตัวเอง และนอกจากนี้ยังนำนํ้าหมไปฉีดให้กับสัตว์เลี้ยงของบรรดาเศรษฐี อีกด้วยไม่ว่าจะเป็น สุนัข และ ม้า

แต่ก้าวสำคัญในประวัติศสาตร์ของนํ้าหอม แล้วนั้นจะเกิดขึ้นในยุคกลาง (Middle ages) เมื่อชาวอาหรับ (Arabs) ได้คิดค้นพัฒนา เทคนิคในการ กลั่นนํ้าหอมได้เป็นผลสำเร็จ พื้นที่ ขนาดใหญ่โตของอาณาจักรเปอร์เซีย ได้ทำการ ปลูกดอกกุหลาบ เพื่อที่จะนำมาสกัดเป็นนํ้าหอม เนื้อที่ที่ใช้ปลูก ดอกกุหลาบนี้ใหญ่โตมหาศาล มาก จนถึงกับมี เรื่องเล่าขานกันว่า "กรุง Baghdad" (เมืองหลวงของประเทศอิรักในปัจจุบัน) ในสมัยนั้นได้สมญานาม ที่เรียกขานกันว่า "City of Fragrances" นอกจากนี้ชาวอาหรับยังได้ค้นพบ ส่วนผสมตัวใหม่ในการทำ นํ้าหอมอีกด้วยนั่นก็คือ สารที่ได้จากตัวชะมด หรือ กลิ่น ชะมดนั่นเอง

ชาวอาหรับได้นำเจ้ากลิ่นชะมดนี้ไปผสมกับปูนขาว และพวกเขาก็นำ ปูนขาวที่ได้นี้ไปใช้สร้างสุเหร่า (Mosque) และพระราชวัง ซึ่งก็ทำให้ได้สุเหร่า และพระราชวังที่มีกลิ่นหอมไปทั่วทั้งเมือง และนี่คืออีกหนึ่งที่มาจากเรื่องเล่าถึงคำว่า "City of Fragrances" นั่นเอง

ในช่วงสมัยของ Crusaders ได้นำเครื่องหอมจาก อาหรับไปให้ชาวยุโรปได้รู้จัก แต่สำหรับก้าวแรกของนํ้าหอม ในยุโรปนั้นเริ่มจริงๆก็ในศตรวรรษที่ 16 เมื่อ แคทเธอรีน เดอ เมคิชี่ (Catherine de Medici) มาที่ประเทศ Italy เพื่อที่จะแต่งงานกับอนาคตกษัตริย์ในช่วงนั้น จากนี้ไปนํ้าหอม ก็พัฒนาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในต้นศตรวรรษที่ 19 ได้มีนักเคมีได้ทำการสังเคราะห์นํ้าหอมจาก สารเคมีจนได้กลิ่น ต่างๆ มากมายหลายพันกลิ่น จนกระทั่งนํ้าหอมได้กระจายไปทั่ว จนเป็นอุตสาหกรรม ขนาดใหญ่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน Ingredients-กลิ่นน้ำหอมผู้คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า กลิ่นของนํ้าหอมที่ได้จากต้นไม้นั้น มักจะมาจากดอกไม้ แต่น่าประหลาดใจมาก ส่วนอื่นๆของต้นไม้นั้น เราก็นำมาใช้ทำนํ้าหอมได้ ไม่ว่าจะเป็น ลำต้น ใบไม้ เนื้อไม้ ผล เมล็ด เปลือก และ ยางไม้

วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2551

รูปปั้นพระเยซูคริสต์


รูปปั้นพระเยซูคริสต์ นครริโอเดอจาเนโร บราซิล
รูปปั้นพระเยซูคริสต์นี้ตั้งอยู่ที่ยอดเขากอร์โกวาโด มีความสูงราว 38 เมตร ได้รับการออกแบบโดยไฮตอร์ ดาซิลวา คอสตา ชาวบราซิล และสร้างโดยพอล ลันดอฟสกี้ ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม ปี พ.ศ.2474 รูปปั้นพระเยซูคริสต์นี้ถือเป็นอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของนครริโอเดอจาเนโร และเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวบราซิล มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ราว 1,800,000 รายต่อปี

วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เปตรา ประเทศจอร์แดน

เปตราเป็นภาษากรีก มีความหมายว่าหิน เมืองโบราณเปตราตั้งอยู่ในทะเลทราย เป็นเมืองหลวงของชนเผ่านาบาเชียนซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจอร์แดนในสมัยก่อน สร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์อาเรตัสที่ 4 (9 ปีก่อนคริสตกาล-ค.ศ.40) ชาวนาบาเชียนสร้างเมืองแห่งนี้โดยใช้วิธีการแกะสลักหินให้เป็นช่องอุโมงค์ โรงละครของเมืองแห่งนี้ซึ่งเป็นต้นแบบของโรงละครแบบกรีก-โรมันมีเนื้อที่สามารถจุผู้ชมได้ถึง 4,000 คน ส่วนหน้าของวิหารเอล เดียร์ ซึ่งสูง 42 เมตร ในเมืองแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีอีกแห่งหนึ่งของสถาปัตยกรรมแบบกรีกโบราณที่หลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้