Love story
วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันคริสต์มาส
วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันพ่อแห่งชาติ
วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
Renaissance
There is a general, but not unchallenged, consensus that the Renaissance began in Florence, Tuscany in the 14th century.
The Renaissance has a long and complex historiography, and there has been much debate among historians as to the usefulness of Renaissance as a term and as a historical delineation. Some have called into question whether the Renaissance was a cultural "advance" from the Middle Ages, instead seeing it as a period of pessimism and nostalgia for the classical age, while others have instead focused on the continuity between the two eras. Indeed, some have called for an end to the use of the term, which they see as a product of presentism – the use of history to validate and glorify modern ideals.
วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
อเล็กซานเดอร์มหาราช
วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
Napoléon
Napoléon Bonaparte(né le 15 août 1769 à Ajaccio, en Corse ; mort le 5 mai 1821 sur l'île Sainte-Hélène) fut général, Premier consul, puis empereur des Français. Il fut un conquérant de l'Europe continentale.
Objet dès son vivant d'une légende dorée comme d'une légende noire, il a acquis une notoriété aujourd'hui universelle pour son génie militaire (victoires d'Arcole, Rivoli, Pyramides, Marengo, Austerlitz, Iéna, Friedland, Wagram, La Moskova) et politique, mais aussi pour son régime autoritaire, et pour ses incessantes campagnes (voulues ou non) coûteuses en vies humaines, soldées par de lourdes défaites finales en Espagne, en Russie et à Waterloo, et par sa mort en exil à Sainte-Hélène sous la garde des Anglais.
Il dirige la France à partir de la fin de l’année 1799 ; il est d'abord Premier Consul du 10 novembre 1799 au 18 mai 1804 puis Empereur des Français, sous le nom de Napoléon Ier, du 18 mai 1804 au 11 avril 1814, puis du 20 mars au 22 juin 1815. Il réorganise et réforme durablement l'État et la société. Il porte le territoire français à son extension maximale avec 134 départements en 1812, transformant Rome, Hambourg, Barcelone ou Amsterdam en chefs-lieux de départements français. Il est aussi président de la République italienne de 1802 à 1805, puis roi d’Italie du 17 mars 1805 au 11 avril 1814, mais encore médiateur de la Confédération suisse de 1803 à 1813 et protecteur de la Confédération du Rhin de 1806 à 1813. Il conquiert et gouverne la majeure partie de l’Europe continentale et place les membres de sa famille sur les trônes de plusieurs royaumes européens : Joseph sur celui de Naples puis d'Espagne, Jérôme sur celui de Westphalie, Louis sur celui de Hollande et son beau-frère Joachim Murat à Naples. Il crée aussi un grand-duché de Varsovie, sans oser restaurer formellement l'indépendance polonaise, et soumet à son influence des puissances vaincues telles que la Prusse et l'Autriche.
Napoléon tente de mettre un terme à son profit à la série de guerres que mènent les monarchies européennes contre la France depuis 1792. Il conduit les hommes de la Grande Armée, dont ses fidèles « grognards », du Nil et de l'Andalousie jusqu'à la ville de Moscou. Comme le note l'historien britannique Eric Hobsbawm, aucune armée n'était allée aussi loin depuis les Vikings ou les Mongols et aussi de soumettre autant de grandes puissances de l'époque. Malgré de nombreuses victoires initiales face aux diverses coalitions montées et financées par la Grande-Bretagne (devenue le Royaume-Uni en 1801), l’épopée impériale prend fin en 1815 avec la défaite de Waterloo.
Peu d'hommes ont suscité autant de passions contradictoires que Napoléon Bonaparte. Selon les mots de l’historien Steven Englund : « le ton (…) qui convient le mieux pour parler de Napoléon serait (…) une admiration frisant l’étonnement et une désapprobation constante frisant la tristesse. »
Toute une tradition romantique fait précocement de Napoléon l'archétype du grand homme appelé à bouleverser le monde. Élie Faure, dans son ouvrage Napoléon, qui a inspiré Abel Gance, le compare à un « prophète des temps modernes ». D'autres auteurs, tel Victor Hugo, font du vaincu de Sainte-Hélène le « Prométhée moderne ». L'ombre de « Napoléon le Grand » plane sur de nombreux ouvrages de Balzac, Stendhal, Musset, mais aussi de Dostoïevski, de Tolstoï et de bien d'autres encore.
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552
หอนาฬิกาบิ๊กเบน ( Bigben )
บางทีมักเรียกหอนาฬิกานี้ว่า หอเซนต์สตีเฟน (St. Stephen's Tower) หรือหอแห่งบิกเบน (Tower of Big Ben) ซึ่งที่จริงแล้วชื่อหอเซนต์สตีเฟนคือ ชื่อของหอในพระราชวังอีกหอหนึ่ง ซึ่งใช้เป็นทางเข้าไปอภิปรายในสภา ปัจจุบันภายในหอนาฬิกาไม่เปิดให้สาธารณชนเข้าชม เว้นแต่สำหรับผู้ที่อาศัยใน ประเทศอังกฤษ จะต้องทำเรื่องขอเข้าชมผ่านสมาชิกรัฐสภาอังกฤษประจำท้องถิ่นของตน ถ้าเป็นเด็กต้องมีอายุเกิน 11 ปี จึงจะเข้าชมหอได้ สำหรับชาวต่างประเทศนั้นยังไม่อนุญาตให้ขึ้นไป
หอนาฬิกาพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ มีความสูงทั้งหมด 96.3 เมตร โดยในช่วง 61 เมตรแรก เป็นอาคารก่อด้วยอิฐ บุด้วยหิน ส่วนที่สูงจากนั้นเป็น ยอดแหลมทำด้วยเหล็กหล่อ ตัวหอตั้งอยู่บนฐานกว้าง 15 เมตร ยาว 15 เมตร หนา 3 เมตร อยู่ใต้ดินลึก 7 เมตร ตัวหอทั้งหมดหนักโดยประมาณ 8,667 ตัน หน้าปัดนาฬิกาทั้งสี่ด้านอยู่สูงจากพื้น 55 เมตร เนื่องจากสภาพดินในขณะที่มีการก่อสร้างหอ ทำให้ตัวหอค่อนข้างเอนไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 220 มิลลิเมตร
ครั้งหนึ่ง หน้าปัดนาฬิกาของหอมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่ปัจจุบันถูกทำลายสถิติโดยหอนาฬิกาอัลเลน-แบร็ดเลย์ (Allen-Bradley Clock Tower) ที่รัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา ทว่าผู้สร้างหอนาฬิกาอัลเลน-แบร็ดเลย์มิได้จัดให้มีการตีระฆังหรือสายลวดบอกเวลา จึงทำให้หอนาฬิกาพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ ยังคงเป็น นาฬิกาสี่หน้าปัดที่มีการตีบอกเวลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก กลไกนาฬิกาภายในหอสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2397 แต่ตัวหอเสร็จในเวลา 4 ปีต่อมา
นาฬิกาเริ่มเดินครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2402 ต่อมาในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพเยอรมันได้ทิ้งระเบิดทำลายรัฐสภาอังกฤษ และทำความเสียหายให้กับหน้าปัดด้านทิศตะวันตกเป็นอย่างมาก
สำหรับเสียงของระฆัง (เฉพาะเสียง ตีบอกเวลา 12:00 น. และ 24:00 น.)
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ขอระบายหน่อย
ไม่ว่าจะข้อสอบครู
ข้อสอบฝรั่งเศส
แล้วพรุ่งนี้ก็สอบ GAT อีก
ไม่รุ้ว่า สทศ จะเล่นตลกอะไรอีก
เคลียดมากกกกกกกกกกกกกกกกก
และเพื่อนๆๆละ
ทำกันได้รึเปล่าเอ่ย
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552
ปิดเทอมกันแล้ว
ถึงช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน
หลังจากที่หน้าดำคร่ำเครียดกันมานับ3เดือนกว่า
ก้อได้ปิดเทอมสักที
ปิดเทอมนี้ก็ไม่รู้ว่าเพื่อนๆจะทำอะไรกัน
แต่ก็อย่าลืมอ่านหนังสือกันนะ
จะสอบโควตาของมหาลัยศิลปกรแล้ว
สู้ๆๆทุกคนนะ
ขอให้ได้ดังที่หวังกันทุกคนนะ
วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552
Taylor Swift
วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552
Fondation Vasarely
วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552
ดินแดนดวงอาทิตย์เที่ยงคืน
เมื่อโลกเอียงเอาขั้วโลกเหนือเข้าหาดวงอาทิตย์ ขั้วโลกเหนือจะได้รับแสงสว่างและความร้อนเต็มที่ สว่างอยู่เป็นเวลา 24 ชั่วโมงติดต่อกันเป็นเวลานับเดือน จะเห็นอาทิตย์โคจรเป็นทางโค้งอยู่เหนือขอบฟ้า ขึ้นสูงพ้นยอดไม้ และค่อยลดต่ำลงจนเกือบจดขอบฟ้า แต่จะไม่ลับขอบฟ้าไปเสียเลยทีเดียว ก่อนกลับสูงขึ้นไปอีกในตอนเที่ยงคืน ทำให้มีแสงสว่างสาดเป็นทาง ต้นไม้มีเงายาวทอดออกไปตามพื้นดิน คล้ายอาทิตย์ในยามเช้าหรือยามเย็น
ขณะเดียวกัน ฝั่งตรงข้ามคือขั้วโลกใต้จะมืดมิด อากาศหนาวจัดตลอด 24 ชั่วโมงติดต่อนับเป็นเดือนเช่นกัน แต่เมื่อโลกเอียงเอาขั้วโลกใต้เข้าหาดวงอาทิตย์ ขั้วโลกใต้ก็จะสว่างเป็นเวลานาน และมีปรากฏการณ์เห็นดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงคืนเช่นกัน (เพียงแต่ว่าซีกโลกนั้นไม่มีมนุษย์อยู่อาศัยยืนยัน มีเพียงเพนกวินจักรพรรดิเท่านั้นที่เตาะแตะชมวิว) ยามขั้วโลกเหนือตกอยู่ในความมืด อากาศหนาวจัดตลอด 24 ชั่วโมงติดต่อนับเป็นเดือน
ปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์เที่ยงคืน ณ โลกเหนือ จะเกิดขึ้นในบริเวณที่อยู่เหนือเส้นอาร์ติกเซอร์เคิล หรือประมาณเส้นละติจูดที่ 66 องศาเหนือ ทำให้ผู้คนในประเทศที่อยู่เหนือเส้นละติจูดนี้มองเห็นดวงอาทิตย์ทั้งในเวลา กลางวันและกลางคืน
สำหรับนอร์เวย์ สถานที่ที่ชมตะวันยามเที่ยงคืนได้เหมาะเจาะคือเมืองทรอมโซ่ ระหว่าง 16 พฤษภาคม-27 กรกฎาคม และเมืองสวาลบอร์ด ซึ่งเป็นหมู่เกาะกลางมหาสมุทรอาร์กติก ทางตอนเหนือของแผ่นดินใหญ่นอร์เวย์ขึ้นไปอีก 640 กิโลเมตร ระหว่าง 19 เมษายน-23 สิงหาคม
นอกจากนอร์เวย์ ดินแดนที่อยู่เหนือเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล ประกอบด้วย อะลาสกา แคนาดา กรีนแลนด์ ไอซ์แลนด์ สวีเดน ฟินแลนด์ และดินแดนของรัสเซียอย่างบริเวณโนวาวา เซมล์ยา หรือมูร์มันสก์ ก็สามารถมองเห็นอาทิตย์เที่ยงคืนได้เหมือนกัน ทั้งนี้ดินแดนที่เคยมีบันทึกว่าเกิดปรากฏการณ์อาทิตย์เที่ยงคืนนานที่สุด คือทางปลายเหนือสุดของฟินแลนด์ ดวงอาทิตย์ไม่ตกดินนานถึง 73 วัน
สำหรับการจัดเวลากลางวันกลางคืน ดวงอาทิตย์ไม่สร้างความสับสน เพราะว่าไปตามนาฬิกาเป็นปกติ
วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552
Henry the Navigator
วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552
Picasso
Portrait of Picasso
Man in the Cafe
Le Lavabo
Landscape with Houses at Ceret
วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552
มีเกลันเจโล
ศิลปินที่เข้าถึง 3 ศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก เขาไม่เป็นเพียงผู้ที่เข้าถึงแต่เพียงศาสตร์ด้านวิจิตรศิลป์ แต่เขายังเข้าถึงความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรม และประติมากรรมอีกด้วย เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 1475 และเติบโตที่เมืองฟลอเรนซ์ ภายหลังเป็นผู้สร้างประติมากรรมหินอ่อนชื่อกระฉ่อนโลกนามว่า เดวิด (David)
หลังจากที่ไปอยู่ที่กรุงโรม
ตอนอายุได้ 30 ปี เขาได้ถูกเชิญให้กลับมาที่กรุงโรม เพื่อออกแบบหลุมฝังศพให้กับ พระสันตะปาปาจูเลียส ที่ 2 ซึ่งใช้เวลาประมาณ 40 ปี หลังจากแก้หลายครั้งหลายครา จนมาสำเร็จในปี 1545 ต่อมาในปี 1546 เขาเป็นสถาปนิกคนสำคัญในการสร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่กรุงโรม ที่มีความยิ่งใหญ่และงดงามเป็นอย่างมาก ซึ่งถือเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลก โดยเฉพาะส่วนที่เป็นโดม
เขาใช้ชีวิตในบั้นปลายอยู่ในกรุงโรม ตลอด 30 ปี ช่วงนี้นั้นเองที่เขาเขียนภาพระดับโลกไว้มากมาย โดยเฉพาะ The Last Judgement (Last Judgment) ซึ่งเขาใช้เวลาในการเขียนภาพขนาดยักษ์นี้นานถึง 6 ปี
มีเกลันเจโล บัวนาร์โรตี เสียชีวิตลงเมื่ออายุได้ 90 ปี ซึ่งมีคำกล่าวจาก พระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ว่า "ทรงยินดีบั่นทอนชีวิตของท่านลง เพื่อแลกกับชีวิตของ มิเกลันเจโล ให้ยืนยาวออกไปอีก"
วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
สำหรับโบสถ์นี้มีชื่อเต็มมาจากภาษากรีก แปลว่า โบสถ์แห่งปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ โดยคำว่า "โซเฟีย" มาจากภาษาละตินที่เปลี่ยนมาจากคำในภาษากรีกที่แปลว่า "ปัญญา" อีกทีหนึ่ง จึงไม่มีความเกี่ยวข้องกับเซนต์ที่ชื่อโซเฟียแต่อย่างใด
โบสถ์เซนต์โซเฟีย หรือสุเหร่าเซนต์โซเฟีย ปัจจุบันเป็นที่ประชุมสวดมนต์ของชาวมุสลิม ซึ่งในอดีตเคยเป็นโบสถ์ทางศาสนาคริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์ ที่พระเจ้าจักรพรรดิ์คอนสแตนตินเป็นผู้สร้าง เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 13 ใช้เวลาสร้าง 17 ปี เพื่อเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์ แต่ถูกผู้ก่อการร้ายบุกทำลายเผาเสียวอดวายหลายครั้ง เพราะเกิดการขัดแย้งระหว่างพวกที่นับถือศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลาม จนถึงสมัยพระเจ้าจัสติเนียนมีอำนาจเหนือตุรกี จึงได้สร้างโบสถ์เซนต์โซเฟียขึ้นใหม่ ใช้เวลาสร้างฐานโบสถ์ 20 ปี ตัวโบสถ์ 5 ปี
เมื่อประมาณปี พ.ศ.1996 (ค.ศ.1435) พระองค์ต้องการให้เป็นสิ่งสวยงามที่สุด จึงได้พยายามหาสิ่งของมีค่าต่างๆ มาประดับไว้มากมาย และได้ทุ่มงบประมาณจำนวนมากขยายโบสถ์เซนต์โซเฟียให้ใหญ่โตชนิดที่เรียกว่าต้องใหญ่กว่าโบสถ์คริสต์ทุกแห่งในโลก หลังจากสร้างเสร็จได้มีการเฉลิมฉลองกันอย่างมโหฬาร ต่อมาเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ทำให้แตกร้าว ต้องให้ช่างซ่อมจนเรียบร้อยแบบในสภาพเดิมเมื่อสิ้นสมัยของจักรพรรดิจัสติเนียน ถึงสมัยพระเจ้าโมฮัมเหม็ดที่ 2 มีอำนาจเหนือตุรกี และเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม ทรงเห็นว่าโบสถ์เซนต์โซเฟียนั้นของเดิมสร้างได้ใหญ่โตแข็งแรงและสวยงามอยู่แล้ว จึงไม่ทำลายเหมือนเช่นศาสนสถานแห่งอื่น หากแต่ทรงบัญชาเปลี่ยนแปลงภายในโบสถ์เสียใหม่ ให้เป็นสุเหร่าอิสลาม แต่ยังคงความงามไว้เช่นเดิม
• งดงามจนได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง
โบสถ์เซนต์โซเฟีย หรือสุเหร่าเซนต์โซเฟียแห่งนี้มีเนื้อที่ 700 ตารางเมตร ภายในมีเสางามค้ำที่สลักอย่างวิจิตรและ ประดับไว้งดงาม 108 ต้น (ชั้นบนขนาดเล็ก 68 ต้น ชั้นล่างขนาดใหญ่ 40 ต้น) มีจุดเด่นอยู่ตรงยอดที่เป็นโดมขนาดมหึมากลางวิหาร คล้ายซาลาเปา มีหอมินาเรสท์เป็นยอดแหลมๆ มากมาย เนื่องจากศิลปะแบบคริสเตียนผสมกับอิสลามนี้เอง ทำให้มีความสวยงามอันน่ามหัศจรรย์
นอกจากนี้ บรรยากาศภายในโบสถ์ค่อนข้างสลัว เพราะแสงเข้ามาน้อย แต่เย็น เพราะโครงสร้างส่วนใหญ่ทำด้วยหินอ่อน และงานโมเสกชิ้นสำคัญๆ ส่วนใหญ่อยู่ด้านขวาของโบสถ์ แต่ละชิ้นมีขนาดใหญ่และอยู่สูงขึ้นไปจรดเพดาน ต้องแหงนคอดูเช่นกัน
ปัจจุบันโบสถ์เซนต์โซเฟียได้กลายเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไปแล้ว และด้วยโครงการทำโบสถ์ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ในปี ค.ศ.1930 นี่แหละ ที่มีการค้นพบภาพโมเสกอันประมาณค่ามิได้ของโบสถ์เซนต์โซเฟีย
ถ้าใครมีโอกาสได้เข้าชมโบสถ์เซนต์โซเฟียแห่งนี้...คงจะได้รับความรู้และได้เปิดมุมมองใหม่ๆ ได้ไม่มากก็น้อยเกี่ยวกับความแตกต่างของสองศาสนาที่มีความขัดแย้งกันมาเป็นพันๆ ปีว่า ทำไมสามารถมารวมอยู่ในที่เดียวกันได้อย่างกลมกลืนและงดงาม
วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
วันเข้าพรรษา
"เข้าพรรษา" แปลว่า "พักฝน" หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ แม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยียบข้าวกล้าและพืชอื่นๆ จนเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน คือ เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ถ้าปีใดมีเดือน 8 สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือนแปดหลัง และออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เว้นแต่มีกิจธุระเจ้าเป็นซึ่งเมื่อเดินทางไปแล้วไม่สามารถจะกลับได้ในเดียวนั้น ก็ทรงอนุญาตให้ไปแรมคืนได้ คราวหนึ่งไม่เกิน 7 คืนเรียกว่า สัตตาหะ หากเกินกำหนดนี้ถือว่าไม่ได้รับประโยชน์ แห่งการจำพรรษา จัดว่าพรรษาขาด ระหว่างเดินทางก่อนหยุดเข้าพรรษา หากพระภิกษุสงฆ์เข้ามาทันในหมู่บ้านหรือในเมืองก็พอจะหาที่พักพิงได้ตามสมควร แต่ถ้ามาไม่ทันก็ต้องพึ่งโคนไม้ใหญ่เป็นที่พักแรม ชาวบ้านเห็นพระได้รับความลำบากเช่นนี้ จึงช่วยกันปลูกเพิง เพื่อให้ท่านได้อาศัยพักฝน รวมกันหลาย ๆองค์ ที่พักดังกล่าวนี้เรียกว่า "วิหาร" แปลว่าที่อยู่สงฆ์ เมื่อหมดแล้ว พระสงฆ์ท่านออกจาริกตามกิจของท่านครั้งถึงหน้าฝนใหม่ท่านก็กลับมาพักอีกเพราะสะดวกดี แต่บางท่านอยู่ประจำเลย บางทีเศรษฐีมีจิตศัรทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็เลือกหาสถานที่สงบเงียบไม่ห่างไกลจากชุมชนนัก สร้างที่พัก เรียกว่า "อาราม" ให้เป็นที่อยู่ของสงฆ์ดังเช่นปัจจุบันนี้
โดยปรกติเครื่องใช้สอยของพระ ตามพุทธานุญาตให้มีประจำตัวนั้น มีเพียงอัฏฐบริขารอันได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ เข็ม บาตร รัดประคด หม้อกรองน้ำ และมีดโกน และกว่าพระท่านจะหาที่พักแรมได้ บางทีก็ถูกฝนต้นฤดูเปียกปอนมา ชาวบ้านที่ใจบุญจึงถวายผ้าจำนำพรรษา หรือผ้าอาบน้ำฝนสำหรับให้ท่านได้ผลัดเปลี่ยน และถวายของจำเป็นแก่กิจประจำวันของท่านเป็นพิเศษในเข้าพรรษานับเป็นเหตุให้มีประเพณีทำบุญเนื่องในวันนี้สืบมา การที่พระภิกษุสงฆ์ท่านโปรดสัตว์อยู่ประจำเป็นที่เช่นนี้ เป็นการดีสำหรับสาธุชนหลายประการ กล่าวคือ ผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามพระพุทธบัญญัติก็นิยมบวชพระ ส่วนผู้ที่อายุยังไม่ครบบวชผู้ปกครองก็นำไปฝากพระ โดยบวชเป็นเณรบ้าง ถวายเป็นลูกศิษย์รับใช้ท่านบ้าง ท่านก็สั่งสอนธรรม และความรู้ให้ และโดยทั่วไป พุทธศาสนิกชนนิยมตักบาตรหรือไปทำบุญที่วัด นับว่าเป็นประโยชน์
การปฏิบัติตน ในวันนี้หรือก่อนวันนี้หนึ่งวัน พุทธศาสนิกชนมักจะจัดเครื่องสักการะเช่น ดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องใช้ เช่น สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น มาถวายพระภิกษุ สามเณร ที่ตนเคารพนับถือ ที่สำคัญคือ มีประเพณีหล่อเทียนขนาดใหญ่เพื่อให้จุดบูชาพระประธานในโบสถ์อยู่ได้ตลอด 3 เดือน มีการประกวดเทียนพรรษา โดยจัดเป็นขบวนแห่ทั้งทางบกและทางน้ำ
แม้การเข้าพรรษาจะเป็นเรื่องของภิกษุ แต่พุทธศาสนิกชนก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ ทำบุญรักษาศีลและชำระจิตใจให้ผ่องใส ก่อนวันเข้าพรรษาชาวบ้านก็จะไปช่วยพระทำความสะอาดเสนาสนะ ซ่อมแซมกุฏิวิหารและอื่นๆ พอถึง วันเข้าพรรษาก็จะไปร่วมทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรมและรักษาอุโบสถศีลกันที่วัด บางคนอาจตั้งใจงดเว้น อบายมุขต่างๆ เป็นกรณีพิเศษ เช่น งดเสพสุรา งดฆ่าสัตว์ เป็นต้น อนึ่ง บิดามารดามักจะจัดพิธีอุปสมบทให้บุตรหลาน ของตนโดยถือกันว่าการเข้าบวชเรียนและอยู่จำพรรษาในระหว่างนี้จะได้รับ อานิสงส์อย่างสูง
กิจกรรมสำหรับพุทธศาสนิกชนในวันเข้าพรรษา
๑. ร่วมกิจกรรมทำเทียนจำนำพรรษา
๒. ร่วมกิจกรรมถวายผ้าอาบน้ำฝน และจตุปัจจัย แก่ภิษุสามเณร
๓. ร่วมทำบุญ ตักบาตร ฟังธรรมเทศนา รักษาอุโบสถศีล
๔. อธิษฐาน งดเว้นอบายมุขต่างๆ
วันอาสาฬหบูชา
วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552
idiom part 1
eg. He always askes his father for money.She often askes for you.
2.Answer the door (ไปดู,ไปรับ)
eg. Someone is calling me at the door, I have to answer it.
3.Agree with (เห็นด้วยกับบุคคล)
eg. I agree with you in this matter.
4.Agree to (เห็นด้วยกับข้อเสนอ)
eg. All of us agree to your proposal.
5.Blow out (ระเบิด,ทำให้ดับ)
eg. Becareful, it will blow out.Please blow out the lamp before going to bed.
6.Build up (เสริมสร้าง,ทำให้แข็งแรง)
eg. One should take exercise in order to build up one's strenght.
7.Break down (เสื่อม,ชำรุด,กำจัด)
eg. If you work so hard, your health will break down.
8.Break into (งัด,จู่โจม,แตก)
eg. Last night the thief broke into his house.
9.Break off (ยับยั้ง,ถอน,ขัดจังหวะ)
eg. She broke off his engagement last month.
10.Break out (เกิดขึ้น,ปรากฏในทันทีทันใด)
eg. The moon broke out among the croud.
11.Break with (ทะเลาะ,โกรธ)
eg. Why do you break with her?
12.Bring about (ก่อให้เกิด)
eg. Much rains brought about flood.Laziness brought about poverty.
13.Bring up (เลี้ยงดูให้เติบโต)
eg. I brought up four children in my family.
วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552
สวิตเซอร์แลนด์
วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
10 อันดับโรงแรมที่หรูที่สุดในโลก
โรงแรม Apeiron island จัดเป็นโรงแรมระดับ 7 ดาว มีพื้นที่ประมาณ 2 แสนตารางเมตร ตั้งอยู่บนความสูง 185 เมตร มีห้องพักระดับหรูหรา มากกว่า 350 ห้อง ทุกอย่างที่อยู่ในโรงแรมนี้คือคำนิยามของความไฮเทคที ่มีระดับ มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก เพราะตัวโรงแรมสร้างลากูนขึ้น กลางน้ำเป็นของตัวเอง รวมถึงหาดทรายกลางทะเล ภัตตาคารสุดหรู โรงหนัง แหล่งชอปปิ้ง แกลลอรี่ศิลปะ สปาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ทำให้การ ประชุมทางไกลกับโลกพื้นดินทำได้โดยสะดวก แม้ถูกจัดอันดับให้เป็นอันดับ 10 แต่ก็ยังไม่ถูกสร้างเสียที
อันดับ 9 Foldable hotel pods โรงแรมลอยน้ำ
มื่อต้นปีที่ผ่านมาบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านการออกแบบข องอังกฤษรายนี้ได้เผยโฉมต้นแบบโรงแรมยักษ์ใหญ่กลางทะ เลแห่งนี้ขึ้นมาในงาน ? Future Holiday Forum โดยชี้ให้เห็นว่าด้วยเทคโนโลยีการเดินทางสมัยใหม่บวก กับการออกแบบชั้นยอด ทำให้โรงแรมชั้นเยี่ยมสมัยใหม่ สามารถไปตั้งอยู่กลางทะเลที่ไหนก็ได้ที่บรรดาแขกอยาก ไป และอยู่ได้เป็นเวลานานๆ
อันดับ 8 โรงแรม Burj al-Arab เมื่อตะวันออกพบตะวันตก ประเทศสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์
โรงแรมนี้จัดว่าขึ้นชื่อระดับโลก เพราะก่อสร้างและเปิดดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ถือเป็นโรงแรมระดับ 7 ดาวแห่งแรกของโลก ความสูงของโรงแรม อยู่ที่ 321 เมตร ตัวโรงแรมนั้นถูกออกแบบมาให้เป็นเหมือนใบพัดเรือ บนพื้นที่ที่เป็นเหมือนเกาะอยู่ห่างจากหาด Jumeirah ประมาณ 280 เมตร ความสุดยอดของโรงแรมนี้อีกอย่างหนึ่งคือการเป็นเอเทร ียมที่สูงที่สุดในโลก คือสูงถึง 180 เมตร มีห้องพักกว่า 200 ห้องที่ไม่ซ้ำกันเลย ด้วย ราคาระหว่าง 1,000 ไปจนถึงมากกว่า 28,000 เหรียญสหรัฐต่อคืน ในตัวโรงแรมมีภัตตาคาร 8 แห่ง แต่ละแห่งมีทั้งบาร์และเลาจ์ ฟิตเนส และ สิ่งอำนวยความสะดวก
อันดับ 7 Waterworld โรงแรมกลางน้ำตกยักษ์ ประเทศจีน
แค่เห็นดีไซน์ก็รู้แล้วว่านี่มันเป็นโรงแรมแห่งความฝันชัดๆ เพราะตัวโรงแรมเหมือนฝังไปกับน้ำตกแห่งหนึ่งในเมืองจีน ตัวโรงแรมนี้ออกแบบ ให้มีห้องพัก 400 ห้อง ที่สำคัญห้องอยู่ใต้น้ำตก ลูกเล่นที่เป็นทีเด็ดก็คือ สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมบริเว ณอ่าวของ โรงแรม ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำที่หรูสุดๆ หน้าผาระดับพระเจ้าให้ปีนไต่ และบันจี้จั๊มพ์ รวมถึงลูกเล่นอื่นๆ และโรงแรมนี้จะมีโอกาสสร้างก็ต่อเมื่อผ่านเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้วเท่านั้น
อันดับ 6 The Poseidon รีสอร์ทใต้ทะเล
ด้วยพื้นที่ใต้น้ำลึกกว่า 1,200 ตารางฟุตแห่งนี้เป็นรีสอร์ทที่ถูกจับตามากที่สุดแห่ง หนึ่งในโลก เพราะเป็นรีสอร์ทใต้น้ำแห่งแรกของโลกที่จะสร้าง เสร็จภายในปี2009 มีห้องพักสุดหรูขนาด ใหญ่ึถึง 550 ตารางฟุต และนักท่องเที่ยวที่ไปเยี่ยมเยียนรีสอร์ทแห่งนี้ สามารถใช้บริการขับเรือดำน้ำ สามารถดำดิ่งไปดูปะการังน้ำลึก ดำน้ำแบบสกูบ้า กีฬาทางน้ำทุกชนิดเท่าที่นึกได้ แล่นเรือใบพารา สำรวจถ้ำ และอื่นๆ อีกมากมาย
อันดับ 5 The Hydropolis : โรงแรมใต้น้ำระดับ 10 ดาว
เป็นอีกโรงแรมหนึ่งที่อาศัยทะเลเป็นฉากหลังอันตระการ ตาให้กับผู้มาพัก ตัวโรงแรมคาดหมายว่าจะสร้างกันที่ดูไบ โดยเฉพาะตัวโรงแรมนั้น ได้ใส่ศูนย์การค้าขนาดยักษ์ที่มีพื้นที่กว่า 1.1 ล้านตารางฟุตเข้าไปด้วย ในตัวโรงแรมยังมีห้องบอลรูมขนาดยักษ์ มีโรงภาพยนต์ดิจิตอลไฮเทค สุดอลังการ และที่เจ๋งสุดๆ ก็คือมีระบบป้องกันตัวเองด้วยจรวดมิสไซล์ที่อยู่ต่ำก ว่าน้ำทะเลลงไป 60 ฟิต ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถสนุกกับเครื่อง เล่นมากมายในสถานที่ที่เป็น ธีมต่างๆ กว่า 220 แห่ง ความคืบหน้าล่าสุดของโครงการนี้มี 150 บริษัทที่กระโดดเข้ามาร่วมแย่งชิงกันอยู่ และกว่า จะรู้ว่าใครจะเป็นผู้ได้ดำเนินโครงการก็ประมาณปลายปี นี้
อันดับ 4 The Lunatic Hotel : โรงแรมบนดวงจันทร์
เปลี่ยนบรรยากาศไปที่โรงแรมบนดวงจันทร์กันบ้างดีกว่า และโครงการนี้ไม่ถือว่าโคมลอยแต่อย่างใด โอกาสที่จะเป็นจริงมีมากเหลือเกินซึ่ง ถ้าเปิดให้บริการเมื่อไหร่คงต้องเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกแน่นอน ถือว่านี่เป็นอีกความฝันของปี 2050 ที่ต้องไปให้ถึงเลยทีเดียว(อีกไม่กี่ปีเอง)
อันดับ 3 Aeroscraft : โรงแรมบินสุดหรูสำหรับวันพรุ่งนี้
สำหรับโครงการ Aeroscraft บอลลูนยักษ์ลอยฟ้าที่อัดแน่นด้วยพลังงานกว่า 400 ตัน ทำให้สามารถนำพาผู้โดยสารเหินไปกลางอากาศด้วย ความเป็นอยู่ที่หรูหราสุดยอด ที่มีพื้นที่เท่ากับสนามฟุตบอลสองสนามลอยอยู่บนอากาศ ด้วยก๊าซฮีเลียมจำนวน 14ล้านลูกบาศก์ฟุต ตามติด ด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดยักษ์และเชื้อเพลิงไฮโ ดรเจน มีพัดลมขนาดยักษ์ 6 ตัว สามารถนำผู้โดยสารไปได้ประมาณ 250 คน ด้วย ความเร็ว 174 ไมล์ต่อชั่วโมง ที่ความสูง 6,000 ไมล์ ในตัวโรงแรมจะมีคาสิโน ภัตตาคาร ฯลฯ
อันดับ 2 Galactic Suite โรงแรมอวกาศ
จากความพยายามของ Xavier Claramunt ที่ต้องการผจญภัยในอวกาศด้วยยานขนส่ง ซึ่งตัวยานนั้นออกแบบมาให้มีห้องพัก 22ห้อง ขนาด 7x4 เมตร พร้อมหน้าต่างที่เปิดให้เห็นวิวอวกาศ และสิ่งอำนวยความสะดวก คราวนี้ก็ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งนาซา หรือรัสเซียในการจ่ายเงินที่แพง มากในการขึ้นไปเที่ยวรอบโลกด้วยยานอวกาศเหมือนที่ผ่า นมา ตอนนี้เครื่องต้นแบบสร้างเสร็จแล้ว และอยู่ในระหว่างรอนักลงทุนกระเป๋าหนัก ที่มองเห็นอนาคตกระโดดเข้ามาลงทุนเท่านั้นเอง
อันดับ 1 Bigelow Aerospace, Las Vegas
เครื่องเดินอากาศ หรือ CSS Skywalker โรงแรมท่องบรรยากาศนอกโลก แต่ยังอยู่ในวงโคจรโลก เหมือนกับเป็นดาวเทียมขนาดใหญ่ดวงหนึ่ง นั่นเอง ด้วยพื้นที่ 1,500 ตารางเมตร และขนาดที่ใหญ่ถึง 1 แสนกิโลกรัม มีโครงสร้างของยานที่หนากว่า 18 นิ้ว ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ $1 ล้านต่อคืน