ขอบคุณเพื่อนๆมากๆเลยนะ ที่เข้ามาเยี่ยมเยียน "

Love story

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ความหมายของ VALENTINE







V คือ VERITY ความจริงที่มีอยู่ คุณควรให้ความจริงแก่เธอหรือแก่เขา ว่าคุณมีความเป็นจริงความเป็นอยู่อย่างไร มีอะไรบ้างที่คุณพอจะบอกเธอหรือเขาได้ว่าคุณเองนั้นปัจจุบันนะเป็นอย่างไร กล่าวอย่างเปิดเผย ซึ่งความจริงแล้วถ้าความจริงสิ่งที่เป็นอยู่ของคุณและเธอ หรือเขาที่มีต่อกันแล้ว ความไว้เนื้อเชื่อใจ ความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจก็จะมีเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณทีเดียว ในโลกนี้มีสิ่งที่รู้และไม่รู้อยู่เพียง 4 อย่างเท่านั้นคือ คุณรู้ เขาไม่รู้ คุณไม่รู้ เขารู้ คุณรู้ เขารู้คุณไม่รู้ เขาก็ไม่รู้ ถ้าหากคุณบอกสิ่งที่คุณรู้และเขาไม่รู้ หรือคุณไม่รู้เขาบอกให้คุณรู้ ความรู้นั้นก็จะกลายเป็นสิ่งที่เปิดเผย จะบอกเขาว่ารัก ก็รีบ ๆ บอกเสียในวันนี้ อย่าบอกว่า การกระทำก็บอกอบู่แล้ว สายตาก็บอกอยู่แล้ว บอกให้ชัด ๆ เสียว่า"รักคุณ"



A คือ AMBITION เป็นความปรารถนาอย่างแรงกล้า คุณจะรัก จะชอบ จะจีบใคร คุณควรมีความปรารถนาอย่างสูง มิใช่เห็นเขาส่งการ์ดให้ ส่งดอกไม้ให้ พาเขาไปฉลองสนุก ๆ เท่านั้น คุณควรมีความปรารถนาในความรักอย่างจริงจังมิใช่ทำไปเพื่อตามแฟชั่น หรือเพื่อนพ้องลากไป หรือชวนทำ ไปสรรหาการ์ดสวย ๆ สั่งดอกกุหลาบสีแดงสด สวย ๆ ไว้ล่วงหน้า พยายามทำด้วยความปรารถนาดีที่มีไฟอยู่ในใจนะ



L คือ LENIENT ความผ่อนปรน ความปรานี คุณและเขาหรือเธอควรจะมีการผ่อนปรน หรือสิ่งที่ละทิ้งได้ก็ควรจะละทิ้งไป อย่าเก็บมาใส่ใจให้เป็นขยะในใจ หรือรอยมลทินใจ อย่าคิดอะไรเก่า ๆ สมัยนี้ควรที่จะคิด จะนึกได้นะว่า บางอย่างก็ทิ้ง ๆไปเสีย อย่านำมาคิด มีความปรานี เมตตาหรือความรัก ความปรารถนาดีกว่า



E คือ EQUALITY ความเสมอภาค ความทัดเทียมกันในสมัยปัจจุบัน คู่รักหรือคนรักกัน ควรจะมีความเท่าเทียมกันมิใช่อยู่ในสมัยบรรจงกราบเช้า กราบเย็น นอนทีหลังตื่นก่อนแล้ว เราต้องก้าวไปด้วยกัน ด้วยความมุ่งมั่นในอนาคต ด้วยความเสมอภาค แต่เราก็คิดเสมอว่าเคียงข้างไปด้วยกัน ขนานกันดีกว่าที่จะมาจูงกัน ก้าวไปด้วยความรักที่มีเท่าเทียมกัน เขามอบอะไรให้เรา เราก็ควรจะตอบแทนให้เขาเท่า ๆ กัน พอ ๆ กัน มิใช่เอารัดเอาเปรียบเขา เขามาแสดงความรัก ความยินดี ด้วยกุหลาบช่อใหญ่ แต่เราให้เขาเพียงดอกเดียว ดูเป็นการเอาเปรียบกันเกินไป จริงอยู่บางคนอาจคิดว่าไม่สำคัญ แต่มันสำคัญที่ใจ ถ้าหากต่างคนต่างให้ความเสมอภาคแล้ว ตาชั่งก็คงไม่เอียงใช่ไหม?



N คือ NOTABLE การยกย่องให้อยู่ในสภาพที่ดี ถึงแม้คุณจะมีความเสมอภาคเท่าเทียมกันแล้วก็ตาม คุณก็ควรจะยกย่องเธอหรือเขาให้อยู่ในสภานภาพที่ดีต่อบุคคลทั่วไป คือ เป็นการให้เกียรติยกย่องเธอหรือเขาต่อสังคม ว่าเป็นคนที่สวยเป็นคนที่ดี ไม่ว่าอยู่ต่อหน้าและลับหลัง มิใช่เอาไปนินทา เอาไปเผาต่อหน้าเพื่อนฝูงให้ไหม้เป็นจุลไป หรือพูดคุยตลกคะนอง ลับหลังเธอหรือเขาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ สู้ฉันไม่ได้ ฉันยอด คุณควรจะยกย่องเธอหรือเขา ในโอกาสที่ควร และในเวลาที่กำลังมีความรักอยู่ด้วยแล้วก็จะดียิ่งทีเดียว



T คือ TENDER ความรักใคร่ที่นุ่มนวล บรรจงเป็นห่วงใย Love me Tender คงจะบอกคุณได้หลาย ๆ อย่าง คุณควรจะทะนุถนอมเธอหรือเขาด้วย ความรัก ความนุ่มนวล ความห่วงใย โทร.ไป สวัสดี VALENTINE ตั้งแต่ใครยังไม่โทร. หรือถึงแม้คุณจะมีนัดเพื่อเจอเพื่อให้ของขวัญ VALENTINE คุณก็ควรโทร.ไปสวัสดีก่อน เพื่อให้เธอหรือเขาเห็นว่าคุณมีความห่วงใย ความปรารถนาดีแค่ไหน ไปฉลองด้วยกันต้องนุ่มนวลในบรรยากาศอย่างนั้น ดูซิ แสนจะสดชื่นกับความรักแค่ไหน ?



I คือ INNOVATION การทำความแปลกใหม่มาให้คู่รัก คนรักหรือชีวิตรัก มิใช่อยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้นมาตลอด ชอบกันอย่างไรก็ชอบกันมาอย่างนั้น เคยให้อะไรก็ให้อย่างนั้น คุณควรจะทำสิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ มาสู่ชีวิตคุณและเธอหรือเขาด้วย การเปลี่ยนแปลงเป็นวิถีของชีวต ดังนั้นคุรควรจะเปลี่ยนอะไร ๆ บ้างในทางที่ดีนะ อย่างคุณจะหาอะไรในวัน VALENTINE ให้เธอจะเปลี่ยนจากดอกไม้ที่เป็นดอกกุหลาบมาเป็นผ้าตัดเสื้อลายกุหลาบ หรือผ้าเช็ดหน้าปักกุหลาบแดง หรือจี้เพชรรูปกุหลาบ เข็มกลัดกุหลาบก็ได้ ส่วนคุณที่จะมอบให้เขาอาจเป็นผ้าเช็ดหน้าปักกุหลาบ เข็มกลัดไทรูปกุหลาบหรือแหวนรูปกุหลาบสำหรับใส่นิ้วก้อยสักวง ลองเปลี่ยนบ้างนะ



N คือ NEXUS การเชื่อมโยงความสัมพันธุ์ให้มีตลอดไปมิใช่วัน VALENTINE เท่านั้นที่คุณจะมอบกุหลาบให้เธอหรือเขา วันเกิด วันขึ้นปีใหม่ วันครบรอบความรักที่เคยให้กันไว้ วันครบรอบวันแต่งงาน หรือวันสำคัญ ๆ ทีคุณให้ก็ได้ หรือบางวันก็ส่งช่อดอกไม้ไปให้เธอช่อใหญ่ ๆ พร้อมกับคำขวัญสั้น ๆ ว่า " รักคุณ" ให้คนในที่ทำงานหรือเพื่อน ๆ อิจฉาเล่นก็ได้ เป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ของคุณต่อเธอหรือเขาว่าคุณยังคิดถึง ยังรักอยู่นะ



E คือ ENDURANCE ความอดทน ความยืนยงสถาพร ความอดกลั้น ความเป็นอมตะ อยู่ชั่วกาลนานคุณจะต้องมีความอดทนต่อทุก ๆ สิ่ง ถ้าหากคุณต้องเผชิญกับสิ่งนั้น อาจเป็นเวลาที่คุณจะต้องคอย คุณจะต้องยืนหยัดในความปรารถนาของคุณ คุณต้องอดกลั้นเมื่อคุณเผชิญต่อสิ่งที่คุณจะต้องโมโห หรืออารมณ์เสีย ต่อหน้าเธอหรือเขา คุณควรประพฤติและปฎิบัติอย่างเป็นไปอย่างนั้นอย่างเสมอ ๆ มิใช่นานเกือบเดือนเพิ่งจะโทร.ไปหาหรือเเขียนจดหมายมา หรือหายไปเป็นปี เพิ่งจะมาบอกว่า " รักคุณ" คุณควรจะมีความรัก ความเมตตา ความปราณี ชีวิต ของคุณจะสดใสดังกุหลาบแรกแย้มที่ต้องน้ำค้างของวันใหม่ทีเดียวรวมกันเป็น VALENTINE วันแห่งความรักสำหรับหนุ่มสาว


วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553

Longmen Grottoes






The Longmen Grottoes (ch. 龍門石窟/ 龙门石窟, lóngmén shíkū; lit. Dragon's Gate Grottoes) or Longmen Caves are located 12 km south of present day Luòyáng in Hénán province, China. The grottoes, which overwhelmingly depict Buddhist subjects, are densely dotted along the two mountains: Xiangshan (to the east) and Longmenshan (to the west). The Yi River flows northward between them. For this reason, the area used to be called Yique (The Gate of the Yi River). From north to south, the distance covered by grottoes is about one km. Along with the Mogao Caves and Yungang Grottoes, the Longmen Grottoes are one of the three most famous ancient sculptural sites in China. There are over 2100 niches, more than 100,000 statues, some 40 pagodas and 3600 tablets and steles in the caves of Guyang, Binyang and Lianhua.

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันคริสต์มาส



ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลที่สำคัญเทศกาลหนึ่งของชาวคริสต์ เทศกาลสำคัญที่ว่านี้คือ เทศกาลคริสต์มาส ซึ่งเป็นเทศกาลฉลองการประสูติของพระคริสต์เทศกาลคริสต์มาสจะจัดขึ้นในวันที่ 24 และ 25 ธันวาคมของทุกปี ในบางประเทศคริสต์มาสอาจจะเริ่มก่อนหน้านั้นประมาณหนึ่งเดือน ช่วงเวลานี้เรียกว่า "แอดเวนท์" (มาจากภาษาลาติน แปลว่า "กำลังมา") และจะสิ้นสุดลงในวันที่ 6 มกราคมซึ่งเป็นวันที่นักปราชญ์สามคนที่มาจากทิศตะวันออกนำของขวัญมามอบแก่พระกุมารเยชู ด้วยเหตุนี้ในคืนวันที่ 6 มกราคม จึงเป็นคืนแห่งการมอบของขวัญในหลาย ๆ แห่งของโลก และเมื่อวันคริสต์มาสอันเป็นวัดสุดยอดของเทศกาลมาถึง การเฉลิมฉลองก็จะเริ่มขึ้น ในช่วงเทศกาลนี้บ้านเรือนจะถูกตกแต่งให้สดใสอบอุ่นด้วยต้นคริสต์มาสที่ประดับประดาเอาไว้อย่าง สวยงาม ที่ใต้ต้นคริสต์มาสจะมีของขวัญวางเรียงไว้มากมาย ประตูบ้านและขอบเตาผิงจะถูกตกแต่งด้วยหรีดกิ่งสนและฮอลลีในเดนมาร์กมีการประดับกิ่งเบริร์ชด้วยผลแอปเปิ้ลสีแดงผลเล็ก ๆ และคนแคระตังจิ๋วที่เรียกว่า "พิสเชอร์" ในนอรเวและสวีเดนมีการทำสัตว์ตัวเล็ก ๆ จากฟางแล้วผูกด้วยริบบิ้นสีแดง

เมื่อพูดถึงอาหารในวันคริสต์มาสจะมีอาหารพิเศษมากมายทั้งไก่งวงที่แสนอร่อย เนื้ออบก้อนโตซอสแครนเบอร์รรี ขนมพาย พุดดิง เค้กและคุกกี้เป็นร้อย ๆชนิด ที่ฝรั่งเศษมีการทำเค้กพิเศษเป็นรูปขอนไม้รสชาติเข้มข้นที่เรียกว่า บุช เดอ โนแอล (ขอยไม้คริสต์มาส)และหลังจากอาหารค่ำที่แสนวิเศษผ่านไปนาทีอันน่าระทึกใจก็มาถึงนั่นก็คือการแกะของขวัญนั่นเอง คริสต์มาสเป็นเทศกาลแห่งความสุขที่มีเรื่องให้พูดถึงไม่รู้เบื่อ สำหรับใครก็ตามที่กำลังจะฉลองเทศกาลนี้ก็ขอให้มีความสุขมาก ๆ

ทุกวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี จะมีการฉลองรื่นเริงในหมู่คริสต์ศาสนิกชนทั่วโลก กิจกรรมในวันนี้มีแต่สิ่งที่น่ารื่นรมย์ไม่ว่าจะเป็นการกินเลี้ยง แลกของขวัญ แต่งบ้านด้วยต้นคริสต์มาส ร้องเพลงคริสต์มาส ไปจนถึงเอาถุงเท้าไปแขวนรอซันตาคลอสผู้อารีย์นำของขวัญมาใส่ไว้ให้ วันคริสต์มาสมีความสำคัญคือ เป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาของศาสนาคริสต์ พระเยซูเป็นชาวยิว ประสูติในประเทศปาเลสไตน์ ซึ่งเดิมตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศใกล้เคียงมาเป็นเวลาช้านาน มีนักปราชญืชาวยิวหลายท่านพยากรณ์ว่า วันหนึ่งข้างหน้าจะมีพระบุตรของพระเจ้าเสด็จลงมาปลดแอกชาวยิวให้ได้รับอิสระภาพในที่สุดวันนั้นก็มาถึง เมื่อพระเยซูประสูติที่หมู่บ้านเบธเลเฮม แคว้นยูดา มารดาของพระองค์ชื่อมาเรีย (ซึ่งเรารู้จักในนามแม่พระ) บิดาชื่อโยเซฟมีอาชีพเป็นช่างไม้ พระเยซูทรงพระปรีชาสามารถมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์สามารถโต้ตอบกับพระชาวยิวในด้านศาสนาได้อย่างฉะฉาน ชีวิตในตอนต้นของพระองค์ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายทรงมีอาชีพเป็นช่างไม้ช่วยบิดา จนพระชนมายุราว 30 พรรษา จึงเสด็จออกประกาศคำสอนและทรงรักษาคนป่วยประเภทต่าง ๆเช่น คนตาบอด ง่อยเปลี้ย ให้กลับเป็นปกติดังเดิม ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลกเช่นเดียวกับศาสนาอิสล

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันพ่อแห่งชาติ




5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์ เป็นผู้ถวายการประสูติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการ จำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม" อันคำว่าโดย "ธรรม" นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า "ทศพิธราชธรรม" หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า "ราชธรรม 10 ประการ" ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฎิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ





วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริ่เริ่ม หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อ โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญ ต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น "พ่อ" ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Renaissance





The Renaissance (French for "rebirth"; Italian: Rinascimento, from ri- "again" and nascere "be born") was a cultural movement that spanned roughly the 14th to the 17th century, beginning in Florence in the Late Middle Ages and later spreading to the rest of Europe. The term is also used more loosely to refer to the historic era, but since the changes of the Renaissance were not uniform across Europe, this is a general use of the term. As a cultural movement, it encompassed a resurgence of learning based on classical sources, the development of linear perspective in painting, and gradual but widespread educational reform.


Traditionally, this intellectual transformation has resulted in the Renaissance being viewed as a bridge between the Middle Ages and the Modern era. Although the Renaissance saw revolutions in many intellectual pursuits, as well as social and political upheaval, it is perhaps best known for its artistic developments and the contributions of such polymaths as Leonardo da Vinci and Michelangelo, who inspired the term "Renaissance man".[2][3]
There is a general, but not unchallenged, consensus that the Renaissance began in
Florence, Tuscany in the 14th century.




Various theories have been proposed to account for its origins and characteristics, focusing on a variety of factors including the social and civic peculiarities of Florence at the time; its political structure; the patronage of its dominant family, the Medici; and the migration of Greek scholars and texts to Italy following the Fall of Constantinople at the hands of the Ottoman Turks.


The Renaissance has a long and complex historiography, and there has been much debate among historians as to the usefulness of Renaissance as a term and as a historical delineation. Some have called into question whether the Renaissance was a cultural "advance" from the Middle Ages, instead seeing it as a period of pessimism and nostalgia for the classical age, while others have instead focused on the continuity between the two eras. Indeed, some have called for an end to the use of the term, which they see as a product of presentism – the use of history to validate and glorify modern ideals.


The word Renaissance has also been used to describe other historical and cultural movements, such as the Carolingian Renaissance and the Renaissance of the 12th century.




วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อเล็กซานเดอร์มหาราช




พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช พ.ศ.๑๗๖ หรือพุทธปรินิพพานได้ ๑๙๖ ปี ที่คาบสมุทรบอลข่าน เมืองมาซิโดเนีย กรีก เจ้าชายอเล็กซานเดอร์ ก็ได้ประสูติขึ้นมาในโลก พระองค์นับเป็นกษัตริย์ที่นักประวัติศาสตร์ทั่วโลก ยอมรับว่ายิ่งใหญ่ที่สุดพระองค์หนึ่งขึ้นครองราชย์สมบัติ ณ มาซิโดเนีย เมื่ออายุ ๒๐ พรรษาต่อจากพระบิดานามว่า ฟิลิปส์ (Pgillips) พระองค์เป็นศิษย์เอกของอริสโตเติล เมื่อทรงพระเยาว์ได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดี

เมื่อพระชนมายุ ๒๖ พรรษา ก็ทรงเป็นนักรบที่เก่งกาจ สามารถเอาชนะทั้งซีเรีย ปาเลสไตน์ อียิปต์ เปอร์เซีย (อิหร่าน)ภายในเวลาแค่ ๔ ปี จากนั้นข้ามภูเขาฮินดูกูฏเข้ามาสู่ปัญจาปทางอินเดีย ภาคเหนือเมื่อ พ.ศ. ๒๑๖ ที่นี่พระองค์ได้ทะลุถึงเมืองตักกศิลา (Taxila) เมืองที่มีชื่อเสียงด้านการศึกษาทั้งพุทธศาสนา และพราหมณ์ ณ ที่นี่พระเจ้าอัมพิราชา (Ambhiraja) ไม่ได้ทรงต่อต้านเพราะเห็นว่า ตัวเองมีกำลังอำนาจไม่เข้มแข็ง พอที่จะต้านศัตรูต่างแดนได้ จึงได้เปิดเมืองต้อนรับอเล็กซานเดอร์ ซึ่งพระองค์ก็ไม่ได้ทำอะไร เพียงแต่ให้ตักกศิลาเป็นเมืองขึ้นต่อมาซิโดเนียเท่านั้นแล้วให้ปกครองตามเดิม แล้วทรงขอให้ตักกศิลาส่งทหารมาช่วยรบปัญจาป ๕,๐๐๐ คน ซึ่งพระเจ้าอัมพิราชาก็ยินยอม

ดังนั้น พระเจ้าอเล็กซานเดอร์จึงรุดเข้าสู่ปัญจาป ได้พบกับกองทัพของพระเจ้าเปารวะ หรือ เปารุส พระราชาแห่งปัญจาป และเมื่อพระเจ้าอเล้กซานเดอร์เดินทางมาถึงแม่น้ำวิตัสตะ พระองค์ก็ได้มองเห็นทัพพระเจ้าเปารุสตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม เมื่อถึงตอนกลางคืน ทัพกรีกพร้อมทหารตักกศิลาเป็นพันธมิตร ก็เริ่มโจมตีอย่างฉับพลัน เมื่อเจอลูกศรช้างทรงของพระเจ้าเปารวะได้รับบาดเจ็บ จึงอาละวาดเหยียบทั้งทหารตนเองและทหารกรีก เกิดความสับสนอลหม่าน และในไม่ช้าทัพอินเดียของพระเจ้าเปารวะก็แพ้อย่างยับเยิน ตัวพระเจ้าเปารวะเองบาดเจ็บสาหัสจึงถูกนำตัวมาเฝ้าพระเจ้าอเล็กซานเดอร์

เมื่อกษัตริย์ กรีกถามว่าจะให้ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร เปารวะกล่าวเยี่ยงอย่างพระราชา ทำให้พระเจ้าอเล็กซานเดอร์พอพระทัย สุดท้ายก็ทรงแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ปกครองปัญจาปเช่นเดิม เมื่อเสร็จศึกที่ปัญจาปแล้วพระเจ้าอเล็กซานเดอร์หวังจะยกทัพต่อเพื่อยึดมคธและส่วนอื่น ๆ ของอินเดีย แต่แม่ทัพนายกองทหารอ่อนล้าเต็มที่จึงวิงวอนไม่ให้เดินทัพต่อ

กษัตริย์แห่งมาซิโดเนีย จึงจำเป็นต้องถอนทัพกลับหลังยึดอินเดียเหนือได้ ๑ ปีกับ ๘ เดือน ทัพกรีกแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายแรกกลับทางเรือง อีกฝ่ายกลับทางบก ยุคนี้อินเดียส่วนเหนือ เปอร์เซีย (อีหร่าน) บาบิโลน (อีรัก) อีหยิปต์ ปาเลสไตน์ ซีเรียและยุโรปต่างตกอยู่ภายใต้การยึดครองของจักรวรรดิกรีก ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์อย่างสิ้นเชิง

หลังกลับไม่ได้นานพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ก็ได้สิ้นพระชนม์ที่บาบิโลน (อิรัก) รวม พระชนมมายุ ๓๓ พรรษาเท่านั้น นักประวัติศาสตร์ต่างยอมรับว่าพระเจ้าอเล็กซานเดอร์นับเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ ที่สุดพระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์โลกเทียบเท่าเจ็งกิสข่านของมองโกลผู้พิชิตยุโรป



วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Napoléon




Napoléon Bonaparte(né le 15 août 1769 à Ajaccio, en Corse ; mort le 5 mai 1821 sur l'île Sainte-Hélène) fut général, Premier consul, puis empereur des Français. Il fut un conquérant de l'Europe continentale.

Objet dès son vivant d'une légende dorée comme d'une légende noire, il a acquis une notoriété aujourd'hui universelle pour son génie militaire (victoires d'Arcole, Rivoli, Pyramides, Marengo, Austerlitz, Iéna, Friedland, Wagram, La Moskova) et politique, mais aussi pour son régime autoritaire, et pour ses incessantes campagnes (voulues ou non) coûteuses en vies humaines, soldées par de lourdes défaites finales en Espagne, en Russie et à Waterloo, et par sa mort en exil à Sainte-Hélène sous la garde des Anglais.

Il dirige la France à partir de la fin de l’année 1799 ; il est d'abord Premier Consul du 10 novembre 1799 au 18 mai 1804 puis Empereur des Français, sous le nom de Napoléon Ier, du 18 mai 1804 au 11 avril 1814, puis du 20 mars au 22 juin 1815. Il réorganise et réforme durablement l'État et la société. Il porte le territoire français à son extension maximale avec 134 départements en 1812, transformant Rome, Hambourg, Barcelone ou Amsterdam en chefs-lieux de départements français. Il est aussi président de la République italienne de 1802 à 1805, puis roi d’Italie du 17 mars 1805 au 11 avril 1814, mais encore médiateur de la Confédération suisse de 1803 à 1813 et protecteur de la Confédération du Rhin de 1806 à 1813. Il conquiert et gouverne la majeure partie de l’Europe continentale et place les membres de sa famille sur les trônes de plusieurs royaumes européens : Joseph sur celui de Naples puis d'Espagne, Jérôme sur celui de Westphalie, Louis sur celui de Hollande et son beau-frère Joachim Murat à Naples. Il crée aussi un grand-duché de Varsovie, sans oser restaurer formellement l'indépendance polonaise, et soumet à son influence des puissances vaincues telles que la Prusse et l'Autriche.




Napoléon tente de mettre un terme à son profit à la série de guerres que mènent les monarchies européennes contre la France depuis 1792. Il conduit les hommes de la Grande Armée, dont ses fidèles « grognards », du Nil et de l'Andalousie jusqu'à la ville de Moscou. Comme le note l'historien britannique Eric Hobsbawm, aucune armée n'était allée aussi loin depuis les Vikings ou les Mongols et aussi de soumettre autant de grandes puissances de l'époque. Malgré de nombreuses victoires initiales face aux diverses coalitions montées et financées par la Grande-Bretagne (devenue le Royaume-Uni en 1801), l’épopée impériale prend fin en 1815 avec la défaite de Waterloo.

Peu d'hommes ont suscité autant de passions contradictoires que Napoléon Bonaparte. Selon les mots de l’historien Steven Englund : « le ton (…) qui convient le mieux pour parler de Napoléon serait (…) une admiration frisant l’étonnement et une désapprobation constante frisant la tristesse. »

Toute une tradition romantique fait précocement de Napoléon l'archétype du grand homme appelé à bouleverser le monde. Élie Faure, dans son ouvrage Napoléon, qui a inspiré Abel Gance, le compare à un « prophète des temps modernes ». D'autres auteurs, tel Victor Hugo, font du vaincu de Sainte-Hélène le « Prométhée moderne ». L'ombre de « Napoléon le Grand » plane sur de nombreux ouvrages de Balzac, Stendhal, Musset, mais aussi de Dostoïevski, de Tolstoï et de bien d'autres encore.